grandprixactual (1)
Search
Close this search box.

Author's posts

Starseed จิตวิญญาณต่างดาว

Starseed จิตวิญญาณต่างดาว ที่มาจากดวงดาว มาจากจักวารอันกว้างใหญ่ เชื่อว่า starseed  ได้เกิดมาในร่างมนุษย์เพื่อมาทำภาระกิจบางอย่างบนโลก อาจจะเป็นภารกิจทางจิตวิญญาณ การยกระดับจิตไห้อยู่ในมิติที่สูงกว่า เหล่าstarseedเชื่อว่า พวกเขาไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์ที่กลับชาติมาเกิด แต่จิตวิญญาณพวกเขาได้มาจากดวงดาวที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในมิติที่สูงกว่า

พวกเค้ามักจะรู้ตัวอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก เพราะมีความคิดและพฤติกรรมและความคิดที่ไม่เหมือนกับคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

เนื่องจากว่าพวกเค้ามีความแตกต่างจากเราเป็นอย่างมาก และจะถูกส่งมายังโลกของเรา เพื่อเป็นการช่วยเรื่องของจิตใจ และช่วยพัฒนาระดับจิตใจไห้สูงขึ้นกว่าที่เคย เนื่องจากพวกเค้ามาจากดวงดาวอีกดวง เนื่องจากพวกเค้ามีพลังงานที่สูงและแตกต่างกับมนุษย์โลกทั่วๆไป พลังงานบางอย่างของพวกเค้าสามารถดึงดูดคุณ พวกเค้าจะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่อยู่นอกโลกได้อีกด้วย

ข้อมูลเหล่านี้มักจะบอกกล่าวระหว่างทางเพื่อเป็นการทำไห้โลกมีการพัฒนาเทคโนโลยี แต่อย่าไรก็ตามพวกเค้าก็ตระหนักว่าโลกไม่ใช่บ้านของพวกเค้า จึงทำไห้ความรู้สึกมีหลากหลายอารมณ์ ถึงแม้ว่าพวกเค้าจะอยู่กับมนุษย์ แต่เค้าก็มีจิตเป็นของพวกเค้าเอง

บ่อยครั้งที่พวกเค้าจะฝันเดิม ๆเกี่ยวกับดวงดาวหรือจักวาลหรือที่  ufabet    รู้สึกว่าเคยไปมาแล้วซ้ำๆ พวกเค้ามักจะมีรางสังหรณ์ที่ชัดเจนหรือแม่นยำ พวกเค้าสามารถสัมผัสพลังงานได้ง่าย ๆ

  • พวกเค้าสัมผัสรู้สึกและใส่ใจกับสิ่งรอบตัว

พวกเค้ามีลักษณะรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนกับมนุษย์ โดยมีตาที่กลมโต มีออร่าเหมือนกับเทพเจ้าและรักสันโดด การเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณที่สูงกว่าเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเค้า เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยสติปัญญาและความรู้ การแสดงตัวของพวกเค้าแตกต่างกับคนอื่นและดูลึกลับ

  • Blue Ray starseed คือหนึ่งเผ่าพันธุ์

โดยมาในรูปแบบจิตวิญญาณอยู่รูปแบบแห่งแสง มีการพัฒนาที่สูงกว่าโลกมนุษย์ และมีการหยั่งรู้ในจิตใจของคน พวกเค้ามีศิลปะในการสื่อสารและจะทำตามความรู้สึกที่อยู่ภายในจิตใจหรือใช้สัญชาติญาณนั่นเอง พวกเค้าสามารถที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างและยังรู้อีกด้วยว่าจะเก็บงำหรือซุกซ่อนพรสวรรค์ โดยจะหยิบนำมาใช้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่สมควร

พวกเค้ารู้สึกว่าดวงดาวที่มีวิวัฒนาการสูงกว่า เป็นที่อยู่อาศัยที่แท้จริง ในด้านพลังของพวกเค้าดูเหมือนจะออกไปในรูปแบบของชาวลิมูเรียมากกว่าชาวแอสแลนติส พวกเค้าจะไม่รู้เลยว่าอะไรคือความโกรธและจะคอยเป็นผู้สร้างความสงบสุขไห้กับแวดวงและกลุ่มคนของพวกเค้า

ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดวงจันทร์ที่น้อยคนนักที่จะรู้ 

     ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริง  เมื่อพูดถึงดวงจันทร์เรามักจะเห็นมันในยามค่ำคืนแต่อันที่จริงแล้วถ้าหากเรามองให้ดีๆจะเห็นได้ว่าแม้แต่ช่วงเวลากลางวันนั้นเราก็สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้เพียงแต่ว่าดวงจันทร์นั้นส่องสว่างไม่เท่ากับดวงอาทิตย์ทำให้แสงจากดวงอาทิตย์นั้นกับแสงของดวงจันทร์เราจะมองเห็นบนท้องฟ้านั้นมีดวงจันทร์เพียงแค่รางๆเท่านั้นเอง

         ยังไงก็ตามผู้คนยังมองเห็นอีกด้วยว่าดวงจันทร์นั้นถ้าหากเปรียบขนาดความใหญ่ของดวงอาทิตย์แล้ว

ถ้าจะเรียกได้ว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์นั้นมีความใหญ่เท่าเทียมกันแต่แท้ที่จริงแล้วคุณรู้หรือไม่ว่าจากการที่นักวิทยาศาสตร์ได้มีการออกไปสำรวจนอกโลกนั้นพบว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์นั้นมีขนาดที่แตกต่างกันเป็นอย่างมากเรียกได้ว่าขนาดแตกต่างกันมากถึง 400 เท่าเลยทีเดียว

และระหว่างดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์นั้นดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์ถึงหรือ 400 เท่านั้นเอง

        อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มีลักษณะขนาดที่มีความเท่ากันนั่นก็เพราะว่าดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์อยู่ห่างกันถึง 400 เท่าดังนั้นจึงทำให้สายตาของเรานั้นมองเห็นขนาดระหว่างดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มีขนาดเท่ากันนั่นเอง 

        นอกจากนี้ในช่วงเวลากลางคืนเราจะเห็นได้ว่าดวงจันทร์นั้นเมื่อ  สมัคร gclub ไม่มีขั้นต่ำ     ไม่มีแสงของพระอาทิตย์มาบดบังดวงจันทร์จะมีความสว่างเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนเดือนมืดแล้วแทบจะมองเห็นบรรยากาศโดยรอบๆตัวเราได้จากแสงของดวงจันทร์ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าดวงจันทร์นั้นมีความสว่างเป็นอย่างมากเลยทีเดียว  

        ยังไงก็ตามคุณรู้หรือไม่ว่าถ้าหากนำแสงสว่างของดวงจันทร์มาเปรียบเทียบกับแสงสว่างของโลกของเราแล้วปรากฏว่าแสงสว่างของดวงจันทร์นั้นสว่างน้อยกว่าโลกของเราถึง 3 เท่าเลยทีเดียว  สิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการที่เวลาที่เรามีการถ่ายรูปซึ่งเป็นรูปภาพในเฟสเดียวกันที่มีทั้งดวงจันทร์และโลกอยู่ในภาพเดียวกัน

นั้นจะเห็นได้ว่าช่างภาพทั้งหลายจะต้องมีการเพิ่มแสงสว่างให้กับดวงจันทร์ให้มากขึ้นเพื่อที่จะให้แสงในภาพนั้นมีความสวยงามและสว่างใกล้เคียงกันนั่นเอง 

          อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ได้มีการคำนวณแล้วว่าถ้าหากเราต้องการที่จะให้ดวงจันทร์นั้นมีแสงสว่างเท่ากับช่วงเวลากลางวันตอนบ่ายบนโลกมนุษย์นั้นเราจะต้องใช้ดวงจันทร์มากถึง 3แสนดวงมารวมกันถึงจะสามารถทำให้เกิดแสงสว่างเท่ากับช่วงเวลากลางวัน

ซึ่งเป็นช่วงเวลาบ่ายบนโลกมนุษย์ได้ และที่สำคัญก็คือในสามแสนดวงนั้นจะต้องมี 206000 พันดวงที่จะต้องเป็นช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงถึงจะสามารถเพิ่มแสงสว่างให้เทียบเท่ากับโลกในช่วงเวลาตอนบ่ายได้นั่นเอง 

ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโว  ประจำจังหวัดสงขลา 

        ตักบาตรเทโว สำหรับในบทความนี้เราจะมาแนะนำเกี่ยวกับประเพณีที่จะมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีของจังหวัดสงขลาซึ่งนับได้ว่าเป็นประเพณีที่มีการทำกันมาอย่างยาวนานสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่น

จากคนเฒ่าคนแก่ส่งต่อมายังถึงลูกหลานและปัจจุบันนั้นก็ยังมีการจัดประเพณีกันอย่างยิ่งใหญ่อลังการอยู่และประเพณีก็ยังสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดสงขลาเพื่อมาร่วมงานประเพณีกันอย่างคับคั่งมากมายเลยทีเดียว

     สำหรับประเพณีที่เรากำลังพูดถึงนี้คือประเพณีลากพระและตักบาตรเทโวซึ่งโดยปกติแล้วทางจังหวัดสงขลาจะมีการจัดกิจกรรมประเพณีในช่วงประมาณต้นเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงระหว่างวันออกพรรษาโดยจุดที่มีการจัดกิจกรรมประเพณีนี้จะมีตั้งแต่บริเวณสระบัวแหลมสมิหลานอกจากนี้ยังมีการจัดประเพณีนี้แถวบริเวณเชิงบันไดเขาตังกวนและที่หน้าสนามกีฬาติณสูลานนท์ซึ่งถือว่าเป็นสนามกีฬาประจำจังหวัดสงขลาอีกด้วย

          ประเพณีลากพระและตักบาตรเทโวนั้นทางเจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดจะมีการจัดกิจกรรม 3 วันด้วยกันซึ่งโดยปกติแล้วในวันแรกนั้นจะมีการจัดทำพิธีสมโภชบริเวณสระบัวแหลมสมิหลา

ซึ่งตรงจุดนี้ชาวบ้านจะพากันมารวมตัวเพื่อทำบุญเป็นการห่มผ้าองค์เจดีย์หลวงเขาตังกวนซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดสงขลาและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจังหวัดสงขลาให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมากเลยทีเดียว 

        อย่างไรก็ตามวันต่อมาชาวบ้านก็จะมีการเดินขบวนมาที่บริเวณหน้าสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือเพื่อทำพิธีแห่ผ้าและเปลี่ยนผ้าห่มขององค์เจดีย์หลวงเขาตังกวนซึ่งกิจกรรมจะเริ่มมีการทำการตั้งแต่ 08:00 น เป็นต้นไปและหลังจากที่เสร็จประเพณีในวันดังกล่าวแล้วชาวบ้านก็จะพากันท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัด

         หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็จะมารวมตัวกันแถวบริเวณเชิงบันไดเขาตังกวนอีกครั้งหนึ่งซึ่งจะมารวมตัวกันตั้งแต่ช่วงเวลา 06:30 น เป็นต้นไปเพื่อร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเทโวโดยจะมีพระสงฆ์เป็นจำนวนมากมาคอยยืนรับข้าวสารอาหารแห้งแถวบริเวณเชิงบันไดเขาตังกวนและจะมีการเริ่มตักบาตรกันตั้งแต่ช่วงเวลา 8:30 น เป็นต้นไป 

         หลังจากที่ชาวบ้านทำการตักบาตรและมีการเปิดงานประเพณีลากพระเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะมีการชมกันประกวดเรือพระขบวนแห่เรือพระที่นั่งซึ่งการประกวดนี้จะมีการจัดขึ้นที่บริเวณหน้าสนามกีฬาติณสูลานนท์และในวันสุดท้ายนั้นก็จะเป็นพิธีการมอบรางวัลเรือขบวนที่ชนะการประกวด 

 

ได้รับการสนับสนุนจาก    ae บาคาร่า

ประวัติ ศาลเจ้าแม่ทับทิม  จังหวัดตราด 

        สำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนที่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดตราดแนะนำว่าควรหาเวลาไปกราบไหว้ขอพรศาลเจ้าแม่ทับทิมซึ่งเป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองของจังหวัดตราดเลยทีเดียว    โดยศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ในช่วงประมาณ ปีพ.ศ. 2472 มาจนถึงปี พ.ศ. 2474

ประวัติ ศาลเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งรวมระยะเวลาในการก่อสร้างศาลเจ้าแม่ทับทิมนั้นเป็นระยะเวลานานกว่า 3 ปีเลยทีเดียว

            อย่างไรก็ตามหากใครที่อยากจะเดินทางไปกราบไหว้ขอพรศาลเจ้าแม่ทับทิมนั้นสามารถเดินทางไปได้โดยสารแห่งนี้นั้นตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ  ตำบลคลองใหญ่   อำเภอคลองใหญ่  สำหรับรูปแบบของการก่อสร้างของศาลเจ้าแม่ทับทิมนั้นก็มีสไตล์การออกแบบเป็นแบบสไตล์จีนไม่แตกต่างจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเลยทีเดียวซึ่งแต่ละมุมแต่ละจุดภายในศาลเจ้าแม่ทับทิมนั้นก็มีความงดงามเป็นอย่างมาก

       สำหรับประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าแม่ทับทิมนั้นว่ากันว่าศาลเจ้าแม่ทับทิมนั้นถูกสร้างขึ้นมาเนื่องจากว่าชาวบ้านได้พบรูปปั้นของเจ้าแม่ทับทิม ลอยมาจากทะเลและลอยมาเรื่อยๆเข้ามาในคลองใหญ่จนลอยมาติดโป้ะจับปลา

ซึ่งมีนายปิ๊กต๊อก   แซ่โง้ว  เป็นเจ้าของโป๊และมีนายปิ๊กติ๊ก  แซ่ลี้  เป็นหัวหน้าคนงานอยู่ในขนาดนั้น 

          อย่างไรก็ตามเมื่อ นายปิ๊กติ๊ก  แซ่ลี้ พบว่ามีรูปปั้นของเจ้าแม่ทับทิมลอยมาติดแพจึงได้ตัดสินใจที่จะอัญเชิญองค์เจ้าแม่ทับทิมขึ้นมาบนบก หลังจากนั้นก็มีการสร้างสารขึ้นมาเพื่อให้เจ้าแม่ทับทิมประทับอยู่ที่ศาลแห่งนี้จนถูกเรียกว่าเป็นศาลเจ้าแม่ทับทิมนั้นเองสำหรับลักษณะของรูปปั้นขององค์เจ้าแม่ทับทิมนั้นว่ากันว่าเป็นรูปปั้นแกะสลักซึ่งเป็นรูปปั้นผู้หญิงซึ่งมีความงดงามเป็นอย่างมากโดยรูปปั้นแกะสลักมาจากไม้แก่นจันทร์ 

          นับตั้งแต่ที่มีการโอนเชิญ  รูปปั้นแกะสลักขององค์เจ้าแม่ทับทิมมาไว้ที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมชาวบ้านก็มีการจัดงานเทศกาลประจำปีกันอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการแสดงถึงความเคารพ และ  ทางเข้า gclub มือถือ    แสดงถึงความขอบคุณที่เจ้าแม่ทับทิมช่วยดูแลปกปักรักษาผู้คนในจังหวัดตราดเป็นอย่างดีโดยงานนั้นจะมีการจัดขึ้นทุกวันที่ 16 เดือนกุมภาพันธ์ซึ่งการจัดงานครั้งแรกนั้นมีการจัดเมื่อวันที่ 16 เดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2507

โดยภายในงานจะมีคนมาเพื่อกราบไหว้ขอพรเจ้าแม่ทับทิมกันเป็นจำนวนมาก

          อย่างไรก็ตามในช่วงแรกที่มีการจัดงานนั้นเนื่องจากมีคนมาเยอะมากจนเกินไปจึงทำให้สถานที่นั้นคับแคบผู้คนที่เดินทางมาร่วมงานบุญต่างก็รู้สึกอึดอัดดังนั้นทางคณะกรรมการบริหารศาลเจ้าแม่ทับทิมจึงได้มีการประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อทำการสร้างศาลหลังใหม่ขึ้นมาโดยไม่ได้มีการทุบศาลหลังเก่าทิ้งแต่ยังคงมีการอนุรักษ์เอาไว้โดยศาลหลังใหม่ได้มีการสร้างและวางศิลาฤกษ์ในช่วงวันที่ 14 เดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2545 

ประวัติยุคสมัยของจังหวัดลำพูน 

       หลายคนเคยอ่านเดินทางไปเที่ยวที่จังหวัดลำพูนเพราะจังหวัดลำพูนนั้นเป็นอีกหนึ่งจังหวัดในเขตพื้นที่ภาคเหนือที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทางธรรมชาติเป็นอย่างมากมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะมากมายไปหมดและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เน้นความเป็นธรรมชาติรวมถึงโบราณสถานที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของไทย

ประวัติยุคสมัยของจังหวัดลำพูน  อย่างไรก็ตามสำหรับในบทความนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของจังหวัดลำพูนว่าก่อนที่จังหวัดลำพูนจะมาเป็นจังหวัดที่มีความสวยงามอย่างในปัจจุบันนี้เคยเป็นอาณาจักรที่มีความรุ่งเรืองมาก่อน

และถือได้ว่าเป็นอาณาจักรที่มีความสำคัญของประเทศไทยอีกอาณาจักรหนึ่ง และมีความเก่าแก่มากอาณาจักรหนึ่งเช่นเดียวกัน   เรียกได้ว่าจังหวัดลำพูนนั้นเป็นเมืองโบราณที่มีความเก่าแก่มากที่สุดของภาคเหนือเลยก็ว่าได้ซึ่งถ้าหากศึกษาประวัติความเป็นมาของจังหวัดลำพูนให้ดีแต่เห็นได้ว่าประวัติของจังหวัดลำพูนนั้นในยุคก่อนที่จะมาตั้งขึ้นมาเป็นจังหวัดลำพูนนั้นเคยเป็นเมืองโบราณมาก่อนและมีการเปลี่ยนถ่ายยุคสมัยมากถึง 5 ยุคด้วยกันมาดูกันว่ามียุคสมัยอะไรบ้าง 

สำหรับจังหวัดลำพูนนั้นเริ่มต้นของการสร้างจังหวัดครั้งแรกมีการตั้งชื่อว่าหริภุญชัยนครหรือเมืองโบราณหริภุญชัยซึ่งยุคแรกกล้ามเดิมทีนั้นเรามีการเรียกยุคดังกล่าวว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นยุคของการสร้างบ้านเมืองขึ้นมาก่อนที่จะมีการขยายอาณาเขตและมีชื่อเสียงโด่งดัง

ซึ่งยุคดังกล่าวนั้นเป็นยุคช่วงประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้วซึ่งเราสามารถค้นพบข้อมูลความเจริญรุ่งเรืองต่างๆเหล่านี้ได้จากแหล่งโบราณคดีบ้านวังไฮ่โดยหลักฐานทางโบราณคดีส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ตรงบริเวณริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำกวง 

สำหรับยุคต่อมาซึ่งถือว่าเป็นยุคที่ 2 นั้นก็คือเป็นยุคประวัติศาสตร์เริ่มแรกซึ่งยุคนี้เป็นยุคที่อารยธรรมทวารวดีได้รับการก่อตั้งขึ้นมาและเป็นยุคที่มีความรุ่งเรืองทางด้านการปกครองด้านเศรษฐกิจและศาสนาเป็นช่วงยุคของศตวรรษที่ 13 ถึง 19

สำหรับยุคที่ 3 นั้นเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนศูนย์กลางการปกครองจากเมืองหริภุญชัยไปที่เชียงใหม่ซึ่งยุคนี้เรียกว่ายุคล้านนาเป็นยุคที่เกิดขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-21 นั่นเองซึ่งยุคนี้มีพญามังรายเป็นผู้ปกครองโดยยุคนี้นั้นเป็นยุคที่มีความมั่นคงรุ่งเรืองทางด้านพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก

และในยุคที่ 4 ก็คือยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นซึ่งยุคนี้มีการเปลี่ยนการปกครองจากล้านนามาเป็นการปกครองแบบรัตนโกสินทร์เป็นยุคที่เกิดขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24-25 และในยุคนี้มีการเปลี่ยนจากพระมหากษัตริย์มาเป็นเจ้าเมืองแทน ส่วนในยุคสุดท้ายซึ่งถือว่าเป็นยุคที่ 5 นั้นก็คือยุคปฏิรูปการปกครองแผ่นดินโดยมีการเปลี่ยนรูปแบบของการปกครองจากเจ้าเมืองหรือเจ้าหลวงมาเปลี่ยนมาเป็นการปกครองแบบหัวเมืองหรือที่เราเรียกว่าการปกครองจังหวัดแทนนั่นเอง 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    บาคาร่า w88

ประวัติความเป็นมาของจังหวัดลำพูนในยุคประวัติศาสตร์แรกเริ่ม 

ยุคประวัติศาสตร์แรกเริ่ม  สำหรับในบทความนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของจังหวัดลำพูนโดยจะพูดถึงประวัติความเป็นมาตั้งแต่เริ่มแรกเริ่มเดิมทีของการก่อตั้งจังหวัดลำพูนนั่นเองซึ่งได้มีข้อมูลบันทึกไว้ในพงศาวดารเกี่ยวกับเรื่องของยุคก่อนประวัติศาสตร์ของจังหวัดลำพูนโดยในสมัยก่อนนั้นจังหวัดลำพูนนั้นไม่ได้เป็นจังหวัดแต่ในสมัยโบราณเรียกว่าเมืองลำพูนหรืออีกชื่อหนึ่งก็คืออาณาจักรหริภุญชัย 

สำหรับประวัติความเป็นมาก่อนยุคประวัติศาสตร์นั้นจะเป็นข้อมูลก่อนที่จะมีการตั้งเป็นอาณาจักรหิริภุญชัยซึ่งในยุคสมัยโบราณนั้นมีการเรียกว่าบ้านวังไฮ

ซึ่งในอดีตนั้นบริเวณตรงพื้นที่ที่เราเรียกกันว่าจังหวัดลำพูนนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่ผ่านมาแล้วซึ่งเกิดหลังพุทธกาลเล็กน้อยโดยพื้นที่ดังกล่าวนั้นอยู่ใกล้กับแม่น้ำกวงและแม่น้ำปิงซึ่งแต่เดิมนั้นเรียก2 แถบแม่น้ำดังกล่าวว่าสมันตรประเทศ 

อย่างไรก็ตามในยุคสมัยโบราณนั้นบริเวณพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการปกครองในรูปแบบพระมหากษัตริย์หรือในรูปแบบใดๆทั้งสิ้นเป็นการอยู่อาศัยของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปจนมีนักพรตเดินทางมาจากชมพูทวีปโดยต้องการที่จะมาเผยแพร่ศาสนาพราหมณ์ของตนเองหลังจากนั้นเมื่อเข้ามาอยู่ก็ได้มีการพูดคุยและก่อตั้งชุมชนขึ้นมา

 สำหรับเรื่องราวดังกล่าวนั้นมีหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์เนื่องจากว่านักโบราณคดีสามารถที่จะค้นพบทั้งในเรื่องของการจารึกผ่านทางพงศาวดารและยังมีโครงกระดูกที่ค้นพบในปีพ.ศ 2530

ซึ่งโครงกระดูกดังกล่าวนั้นมีอายุเก่าแก่ระหว่าง 2,800 ปีถึง 3,000 ปีโดยขุดพบที่บ้านวังไห่ของจังหวัดลำพูนนั่นเอง

นอกจากนี้ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นยังพบว่า ที่นี่ได้มีการเขียนสัญลักษณ์ภาพเขียนสี ซึ่งจะค้นพบตามถ้ำต่างๆนอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่สามารถค้นพบได้ว่าในยุคดังกล่าวนั้นเป็นยุคที่มีการขูดขีดผาหินและมีการประทับรอยเอาไว้ซึ่งรูปเขียนส่วนใหญ่นั้นจะเขียนด้วยสีแดงและยังพบว่าในยุคของก่อนปฏิบัติปีศาจนั้นมีการใช้เครื่องมือขวานหินและหอกเป็นอาวุธ

นอกจากนี้ในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นมีการค้นพบว่าชาวเมืองได้มีการติดต่อกับบุคคลภายนอกในการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพ่อค้าทางอินโด-โรมัน หรือแม้แต่กลุ่มพ่อค้าทางซีกโลกตะวันออกโดยมีหลักฐานอ้างอิงจากสร้อยกำไลในหลุมศพรวมถึงมีการค้นพบลูกปัด

ซึ่งสามารถจะตรวจสอบได้ว่าสิ่งของต่างๆเหล่านี้นั้นเป็นอารยธรรมจากซีกโลกตะวันตกและซีกโลกตะวันออกนั่นเอง

อย่างไรก็ตามในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์แรกเริ่มนั้นเป็นยุคก่อนที่จะมีการปกครองจากผู้นำในนามของพระมหากษัตริย์แต่ต่อมาก็มีการพัฒนาโดยในยุคต่อมานั้นจะเป็นยุคของหิริปุญชัยซึ่งเป็นยุคโด่งดังในประวัติศาสตร์ของไทยอีกยุคหนึ่งและในยุคนี้ก็จะมีพระมหากษัตริย์เข้ามาปกครองประชาชน 

 

ได้รับการสนับสนุนจาก    Ufabet เข้าสู่ระบบ

ฮั่นแนวคิดวัฒนธรรมกระแสของสื่อ

ฮั่นแนวคิดวัฒนธรรมกระแสของสื่อ ตอนปี 2546 ของรายการทีวี The West Wing ที่มีชื่อว่า ‘Han’ ซึ่งเกี่ยวข้องกับนักเปียโนชาวเกาหลีเหนือที่มาเยี่ยมซึ่งพยายามแปรพักตร์ไปยังสหรัฐอเมริกา

เมื่อถูกขัดขวางจากหลักสูตร การแสดงอธิบายว่าเขาเต็มไปด้วยฮัน ความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งจนไม่มีน้ำตา‘ Anthony Bourdain ผู้ล่วงลับในรายการทำอาหารและท่องเที่ยว Parts Unknown (2013-18) กล่าวว่า การมองเข้าไปในหัวใจอันมืดมนของจิตใจชาวเกาหลี การทำความคุ้นเคยกับฮันแนวคิดที่ว่าสำหรับ ผู้ที่ไม่ใช่ชาวเกาหลีอาจเข้าใจได้ยากแนวคิดนี้ยังถูกนำมาใช้ในการวิจารณ์นิตยสาร

Parasite and Squid Game แม้ว่าจะไม่เคยใช้คำนี้โดยตรงก็ตาม หัวใจของจิตวิญญาณของเกาหลีคือแนวคิดที่เรียกว่า “ฮัน” มันเป็นศูนย์กลางของความเป็นเกาหลีในแบบเดียวกับที่ “อะโลฮา” เป็นของฮาวาย อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องแปลกที่ไม่ค่อยมีการกล่าวถึงในการสนทนาหรือในสื่อ การแปลภาษาอังกฤษไม่มีอยู่จริง

แต่ฉันจะพยายามอธิบายมัน เพราะฮันคือความยืดหยุ่นของบรรพบุรุษของฉัน ผู้ซึ่งอดทนต่อสิ่งไม่คงทนมาตลอด 9,000 ปีที่ผ่านมา อาจมีเงื่อนงำว่าพวกเราในสหรัฐฯ ดำเนินต่อไปได้อย่างไร เมื่อเราตกตะลึง ระบบการเมืองและระบบนิเวศน์ของเรากำลังพังทลาย

เมื่อล่ามของผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมเกาหลี เช่น ภาพยนตร์และรายการทีวีกล่าวถึงฮัน พวกเขาหมายถึงอารมณ์ที่รุนแรงของผลงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเสียใจ เสียใจ ไม่พอใจ และโกรธที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดนี้ ตัวอย่างเช่น Parasite เริ่มต้นจากครอบครัวนักต้มตุ๋นที่มุ่งเป้าไปที่ครอบครัวที่ร่ำรวย แต่แผนการของพวกเขากลับกลายเป็นอันตรายถึงชีวิตด้วยการระเบิดของความโกรธที่เดือดดาลจากความไม่พอใจในชั้นเรียน Squid Game

นำเสนอความสิ้นหวังอันน่าเศร้าของผู้คนที่ชีวิตตกอยู่ในความโกลาหลที่พวกเขายอมเสี่ยงตายในเกมแนวซาดิสต์หลายเกมเพื่อโอกาสรอดเพียงเล็กน้อย ในบรรดาภาพยนตร์เกาหลียอดนิยมเรื่องอื่นๆ

เราสามารถชี้ให้เห็นถึงความเศร้าโศกและความโกรธแค้นของชายผู้ถูกคุมขังอย่างอธิบายไม่ได้ใน Oldboy (2003) ภรรยาที่ถูกทารุณกรรมและชอกช้ำใน Lady Vengeance (2005)

อาสาสมัครชาวอาณานิคมต้องถ่อมตนต่อหน้าเจ้านายชาวญี่ปุ่นและพวกเขา ผู้ทำงานร่วมกันใน The Handmaiden (2016) และเยาวชนยากจนที่สูญเสียผู้หญิงที่เขารักให้กับเศรษฐีใน Burning (2018)

เมื่อมองจากมุมมองของฮัน อารมณ์ดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นประเด็นหลักที่ดำเนินไปทั่วทั้งผลงานทั้งหมด แนวคิดดังกล่าวยังเป็นประเด็นที่น่าสงสัย เนื่องจากฮันได้กลายเป็นคำศัพท์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการอธิบายทุกสิ่งในภาษาเกาหลี สิ่งสำคัญคือต้องสำรวจที่มาและความหมายที่แท้จริงของคำนี้ และท้ายที่สุดจำเป็นต้องถามว่าเป็นคำที่มีประโยชน์ในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมเกาหลีหรือไม่

อย่างตัวอย่างช่นเพลงฮิตระดับโลกของ PSY อย่าง “Gangnam Style” ในปี 2012 เป็นจุดเริ่มต้น เขาสร้างความร่วมมือของตัวเองโดยเชิญ Snoop Dogg แร็ปเปอร์ชื่อดังชาวอเมริกันมาร่วมในเพลงใหม่ของเขา “Hangover” ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ติดตามมาจาก “Gangnam Style” เพลงยังคงอยู่ที่อันดับสองในชาร์ตบิลบอร์ดเป็นเวลาเจ็ดสัปดาห์ เพลงถัดไปของเขา “Gentleman” ก็เข้าสู่ชาร์ต 10 อันดับแรกเช่นกัน ก็กลายเป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของฮั่น

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    Ufabet เข้าสู่ระบบ

สื่อสังคมออนไลน์และเสน่ห์สากล

สื่อสังคมออนไลน์และเสน่ห์สากล วัฒนธรรมเกาหลีเติบโตจากระดับภูมิภาคไปสู่โรงไฟฟ้าระดับโลกได้อย่างไร เกาหลีใต้เป็นประเทศเผด็จการจนถึงปี 2530 ซึ่งหมายถึงการจำกัดว่าศิลปินจะทำอะไรได้บ้าง

ศิลปินที่กล้าหาญบางคนใช้พลังสร้างสรรค์ในการวิพากษ์วิจารณ์เผด็จการที่นำการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงการปราบปราม คนอื่นถูกเซ็นเซอร์ แต่ในปี 1992 Seo Taiji และ Boys ได้เดบิวต์เพลงแรกของพวกเขา “I Know” นักวิจารณ์ไม่เข้าใจ สไตล์เกี้ยวพาราสี เนื้อเพลงที่ใส่ใจสังคม

และเสื้อผ้าของศิลปินล้วนแตกต่างไปจากปกติในเวลานั้น แต่ประชาชนทั่วไป การผสมผสานระหว่างเพลงบัลลาดแบบดั้งเดิมของเกาหลีกับอิทธิพลของอเมริกา เช่น แร็พหรือร็อค กลุ่มนี้ได้เปิดตัวสิ่งที่รู้จักกันในชื่อ K-pop

ภายในหนึ่งทศวรรษ วงบอยแบนด์ H.O.T. กำลังขายคอนเสิร์ตของพวกเขาในประเทศจีน ‘The Queen of K-pop’ BoA ติดอันดับชาร์ตเพลง Oricon ของญี่ปุ่นและละครโรแมนติก Winter Sonata กำลังกวาดหน้าจอทีวีและขโมยหัวใจทั่วเอเชียตะวันออก ในช่วงกลางทศวรรษที่ 2000 ผู้ชมในละตินอเมริกาและตะวันออกกลางเริ่มตามทัน สื่อจีนระบุว่าฮันรยูนี้กระแสเกาหลี ข้อเสียของเกาหลีใต้ในฐานะเศรษฐกิจช่วยให้อุตสาหกรรมวัฒนธรรมเติบโต

ตลาดขนาดเล็กทำให้ศิลปินและผู้บริหารต้องมองหาผลกำไรที่มากขึ้นในต่างประเทศ ความล้าหลังทางเทคโนโลยีในช่วงต้นทศวรรษ 1990

เมื่อเทียบกับยุโรป ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา ทำให้รัฐบาลและสังคมของเกาหลียอมรับ “สิ่งใหม่” ซึ่งได้แก่ อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ และโซเชียลมีเดียที่ถือกำเนิดขึ้น ในฐานะประเทศเปิดขนาดเล็กที่รายล้อมไปด้วยมหาอำนาจที่ใหญ่กว่า สนับสนุนให้อุตสาหกรรมวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ผสมผสานอิทธิพลจากต่างประเทศเข้ากับประเทศของตน

ในช่วงปี 2000 เกาหลีใต้กำลังแข่งขันกับญี่ปุ่นเพื่อเป็นผู้จัดส่งความเท่ของเอเชีย แต่วัฒนธรรมของเกาหลีใต้ไม่สามารถเจาะตลาดตะวันตกได้ ไอดอลป๊อปอย่าง Rain และเกิร์ลกรุ๊ปรวมถึง Girls Generation ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก แต่สถานีวิทยุปฏิเสธที่จะเล่นเพลงของพวกเขา ภาพยนตร์รวมถึง Oldboy หรือ Thirst

ได้รับรางวัลในเทศกาลอันทรงเกียรติ เช่น เมืองคานส์ ถึงกระนั้น เครือภาพยนตร์ขนาดใหญ่จะหลีกเลี่ยงภาพยนตร์ของเกาหลีใต้โดยหันไปสนใจภาพยนตร์แอ็คชั่นฮอลลีวูดและซูเปอร์ฮีโร่ ผู้ชมกระแสหลักทั้งสองฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกไม่ได้ให้ความอบอุ่นกับการแสดงของเกาหลีใต้

จากเอเชียไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก ในช่วงปี 2010 วัฒนธรรมสมัยนิยมของเกาหลีได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ผู้บริหารที่นั่งอยู่ในสำนักงานในกรุงโซลตระหนักดีว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายสื่อแบบดั้งเดิม ดังนั้นพวกเขาจึงหลีกเลี่ยงตัวกลางและตัดสินใจใช้เครื่องมือใหม่เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค

โดยตรง ศิลปินเคป๊อปและนักแสดงละครเกาหลีเริ่มเข้าถึงฐานแฟนคลับผ่านทาง YouTube, Twitter และช่องทางโซเชียลมีเดียอื่นๆ ในเกาหลีใต้ ฐานแฟนคลับคาดหวังให้ไอดอลของพวกเขาเข้าถึงหรือเข้าถึงได้และพูดคุยกับพวกเขาโดยตรง ปรากฎว่าเป็นกรณีเดียวกันสำหรับแฟน ๆ ทั่วโลก ก่อนที่ผู้บริหารสื่อตะวันตกจะพูดว่า BTS วงนี้เข้าถึงผู้ชมทั่วโลกผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย มันก็เหมือนกันสำหรับดาราดังคนอื่นๆ ของเกาหลีใต้

แต่ความสำเร็จของวัฒนธรรมเกาหลีใต้มีองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ การมุ่งเน้นไปที่หัวข้อที่เป็นสากล ชาวเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในนักเดินทางที่กระตือรือร้นที่สุดในโลก นักท่องเที่ยวหลายล้านคนเดินทางไปต่างประเทศทุกปี นักศึกษามหาวิทยาลัยหลายแสนคนเรียนหลักสูตรจากลอสแองเจลิสถึงซิดนีย์ เด็กหลายคนใช้เวลาอย่างน้อยส่วนหนึ่งของชีวิตในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการตามรอยพ่อแม่ที่เป็นชาวต่างชาติหรือไปโรงเรียนในประเทศ

ที่ใช้ภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาทักษะทางภาษา เมื่ออยู่ต่างประเทศ พวกเขาตระหนักดีว่าประเด็นปัญหาสุขภาพจิตและความไม่เท่าเทียมกันไปจนถึงความรักและการเลิกราเป็นเรื่องสากล ตัวอย่างเช่น ผู้กำกับ Bong Joon-ho ของ Parasite ได้กล่าวถึงช่องว่างความมั่งคั่งในเกาหลีใต้ที่สะท้อนให้เห็นความแตกต่างของภูมิภาคที่พัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น ยุโรป และเกาหลีใต้ก็มีเรื่องราวของตัวเองที่จะบอกให้โลกได้รับรู้

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    UFABET เว็บตรง

เกาหลีใต้เริ่มต้นความพยายามร่วมกันเพื่อเอาชนะโศกนาฏกรรมในอดีตที่ผ่านมา

โศกนาฏกรรมในอดีตที่ผ่านมา ตลอดศตวรรษที่ 20 ฮั่นมีบทบาทสำคัญในการนิยามตนเองของชาวเกาหลี มันกลายเป็นแนวคิดทางวัฒนธรรมที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษที่ 1960 เมื่อเกาหลีใต้เริ่มต้นความพยายามร่วมกัน

เพื่อเอาชนะโศกนาฏกรรมในอดีตที่ผ่านมาการล่าอาณานิคมโดยจักรวรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2453 ถึง 2488; การบังคับแบ่งประเทศออกเป็นเหนือและใต้หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง และความหายนะของสงครามเกาหลี (พ.ศ. 2493-53) แม้ว่าเกาหลีใต้จะเข้ามาแทนที่ในเวทีโลกในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เกิดใหม่ ความอัปยศของฮั่นยังคงอยู่ ฮันไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงความเศร้าโศกและความโกรธแค้นจากความบอบช้ำทางจิตใจ

ของผู้คนจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ แต่ยังอธิบายถึงวิธีการที่ไม่เหมือนใครในการแบกรับและจัดการกับประสบการณ์ต่างๆ ในท้ายที่สุด ฮันก็หมายถึงความพิเศษแบบหนึ่งของเกาหลีที่กำหนดโดยความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นเมื่อเผชิญกับความเศร้าและความเจ็บปวดโดยธรรมชาติ

กระแสของฮันครอบงำจินตนาการของชาวเกาหลีอย่างทรงพลัง ในแวดวงวัฒนธรรม บุคคลสำคัญทางวรรณกรรม เช่น นักประพันธ์ปัก กยองนี (พ.ศ. 2469-2551) และกวีโกอุน (พ.ศ. 2476-) และอื่น ๆ อีกมากมาย

อ้างว่าฮั่นเป็นหลักการทางสุนทรียะที่สำคัญในศิลปะและวรรณกรรมเกาหลี ใช้ได้กับ ผลิตภัณฑ์สื่อยอดนิยม โดยสื่อนั้นไม่ได้มีการเฉพาะเจาะจงเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง

แต่หมายถึงสื่อต่างๆที่ได้รับความสนใจและสื่อสำคัญ เช่น ละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ เมื่ออธิบายคำศัพท์นี้กับคนที่ไม่ใช่ชาวเกาหลี มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่จะยืนกรานว่าคนๆ หนึ่งไม่สามารถเข้าใจผู้คนได้หากไม่เข้าใจชาวฮั่น ขณะเดียวกันก็อ้างว่ามีเพียงชาวเกาหลีเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริง

อิทธิพลของฮันมาถึงจุดสูงสุดด้วยการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Seopyeonje (1993) โดยผู้กำกับชื่อดัง อิม ควอนแทก เกี่ยวกับผู้ฝึกฝนศิลปะการร้องเพลง/เล่าเรื่องแบบดั้งเดิมของแพนโซรี ซึ่งเป็นผลงานที่เต็มไปด้วยสุนทรียศาสตร์ของฮัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ในประเทศ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในช่วงเวลานั้น แต่ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมของฮัน

แนวคิดเรื่องฮันได้ลดความสำคัญทางวัฒนธรรมลงอย่างมากในเกาหลีใต้เอง เมื่อความคิดทางวัฒนธรรมถูกส่งจากประเทศหนึ่ง (เกาหลีใต้) ไปยังผู้อพยพจากสถานที่นั้นไปยังอีกดินแดนหนึ่ง (ชาวอเมริกันเชื้อสายเกาหลี) มีความล่าช้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับกระบวนการแปลที่บางครั้งส่งผลให้เกิดการบิดเบือน

สิ่งนี้มักเกิดขึ้นหลายชั่วอายุคนเมื่อมีการส่งต่อความคิดไปยังผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญในภาษาบรรพบุรุษของพวกเขา กรณีของฮันเป็นตัวอย่างที่ดีของกระบวนการนี้ แต่อย่างไรก๋ตามก็ยังมีผู้คนบางกลุ่มให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้และยังคงเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดต่อกัน

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    ufabet เว็บตรง

ประวัติความเป็นมาของวัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย 

    ความเป็นมาของวัดร่องขุ่น สำหรับในบทความนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของวัดร่องขุ่นซึ่งวัดแห่งนี้เชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากอยู่ในตอนนี้  สำหรับวัดร่องขุ่นในขณะนี้นับได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางไปเที่ยวสร้างรายได้ให้กับชาวจังหวัดเชียงรายได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

    อย่างไรก็ตามวัดร่องขุนนั้นเป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมาไม่ยาวนานมากนักเนื่องจากว่าเป็นวัดที่เพิ่งสร้างมาประมาณเพียงแค่ 20 กว่าปีเท่านั้น

แต่วัดแห่งนี้นั้นก็สามารถที่จะดึงดูดให้ผู้คนเดินทางไปเยี่ยมชมความสวยงามได้ด้วยประวัติความเป็นมาในการสร้างวัดร่องขุ่นนั้นถูกสร้างขึ้นมาในช่วงประมาณ ปี พ.ศ. 2540   

         สำหรับผู้ที่ลงทุนก่อสร้างออกค่าใช้จ่ายรวมถึงหาสถานที่ในการสร้างวัดร่องขุ่นแห่งนี้ก็คืออาจารย์เฉลิมชัยโฆษิตพิพัฒน์ซึ่งอาจารย์ท่านนี้เป็นคนทั้งก่อสร้างเองและออกแบบวัดเองและมาก่อสร้างวัดแห่งนี้เอาไว้ที่ตำบลป่าอ้อดอนชัยซึ่งตำบลนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 12  กิโลเมตรเพียงเท่านั้น  

        สำหรับแนวความคิดในการก่อสร้างวัดร่องขุ่นขึ้นมานั้นอาจารย์เฉลิมชัยต้องการใช้การสร้างวัดแห่งนี้เป็นงานพุทธศิลป์ซึ่งต้องมีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและตั้งใจที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาโดยวัดแห่งนี้นั้นถือได้ว่าเป็นวัดที่ถวายให้กับแผ่นดินหรือถวายให้กับประเทศไทยนั้นเองเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก

       เนื่องจากว่าอาจารย์เฉลิมชัยนั้นต้องการสร้างถวายวัดร่องขุ่นแห่งนี้ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9

ซึ่งหลังจากที่ก่อสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาแล้วก็ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมากว่าวัดแห่งนี้มีความงดงามโดยชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทยก็รู้จักชื่อเสียงของวัดร่องขุ่นกันเป็นอย่างดีซึ่งชาวต่างชาตินั้นตั้งชื่อวัดร่องขุ่นนี้ว่า White temple 

          สำหรับเหตุผลที่ชาวต่างชาติเรียกว่าวัดร่องขุ่น White Temple หรือแม้แต่คนไทยเองก็เรียกวัดแห่งนี้ว่าวัดขาวนั่นก็เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ประดับตกแต่งอยู่ภายในวัดร่องขุ่นนั้นล้วนเป็นสีขาวทั้งหมดแม้แต่กระจกที่ใช้ประดับประดาให้เกิดความสวยงามสะท้อนกับแสงของพระอาทิตย์หรือแสงไฟนั้นก็ทำมาจากกระจกสีเงิน

          สำหรับแนวความคิดของอาจารย์เฉลิมชัยในการสร้างวัดร่องขุ่นด้วยการสร้างให้เป็นสีขาวทั้งหมดนั้นเพราะอาจารย์เฉลิมชัยมองว่าสีขาวนั้นเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ผุดผ่องและวัดร่องขุ่นก็เป็นตัวแทนทางด้านพระพุทธศาสนาดังนั้นสีขาวจึงเปรียบเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่มีความบริสุทธิ์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโบสถ์วิหารหรือสิ่งก่อสร้างภายในวัดร่องขุ่นจึงถูกนิมิตขึ้นมาให้เหมือนกับสรวงสวรรค์และมีความสวยงามเปล่งประกายให้ผู้คนได้ชมกัน

 

สนับสนุนเนื้อหาจาก  ufabet ทางเข้าเล่น