grandprixactual (1)
Search
Close this search box.

Category: ประวัติและตำนาน

วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ 

     วัดสวนดอก  เชื่อว่าหลายคนที่เคยเดินทางไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่และอาจเคยไปเที่ยวบนถนนสุเทพย่อมรู้จักสถานที่แห่งนี้กันเป็นอย่างดีเพราะสถานที่แห่งนี้นั้นเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่โดยสถานที่ดังกล่าวที่เรากำลังจะพูดถึงอยู่ในตอนนี้ก็คือวัดสวนดอกหรืออีกชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านมักเรียกขานกันก็คือวัดบุปผารามนั้นเอง

        สำหรับประวัติความเป็นมาของวัดสวนดอกหรือวัดบุปผารามนั้นว่ากันว่าเริ่มแรกเดิมทีณสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นวัดแต่ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ซึ่งทางด้านเจ้านายในสมัยราชวงศ์มังรายซึ่งเป็นเจ้านายฝ่ายเหนือได้มีการสร้างเป็นสวนดอกไม้เอาไว้เพื่อเอาไว้ชมสวนเพื่อความเพลิดเพลินจำเริญจำเริญใจอย่างไรก็ตามเมื่อถึงสมัยของกษัตริย์องค์ที่ 6 ของราชวงศ์เม็ง

รายนั่นก็คือพระเจ้ากือนา  พระองค์ได้มีการสั่งให้มีการเปลี่ยนจากสวนดอกไม้แห่งนี้แล้วสร้างเป็นวัดขึ้นมาโดยถูกสร้างเป็นวัดในช่วงประมาณ ปีพ.ศ. 1914 ให้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ให้พระมหาเถระสมบูรณ์ใช้เป็นที่จำพรรษาโดยระบุว่าวัดแห่งนี้นั้นจะเป็นวัดพระอารามหลวง 

          สำหรับวัดสวนดอกแห่งนี้นั้นเป็นวัดที่มีสิ่งปลูกสร้างมากมายที่มีความเก่าแก่เรียกว่าสถานที่แห่งนี้นั้นเป็นปูชนียวัตถุและปูชนียสถานสถานที่สวยงามและเก่าแก่มากอันดับต้นๆของจังหวัดเชียงใหม่เลยก็ว่าได้ที่นี่มีทั้งพระมหาเจดีย์ใหญ่ทรงลังการวมถึงพระพุทธรูปหล่อองค์ใหญ่นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปพระเจ้าเก้าตื้อซึ่งสร้างด้วยโลหะหนัก 9 โกรธตำลึงอีกด้วย 

          สิ่งสำคัญที่สุดของวัดสวนดอกแห่งนี้นั่นก็คือที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุซึ่งถูกนำมาเก็บไว้ในองค์พระเจดีย์ขนาดใหญ่ซึ่งวัดสวนดอกแห่งนี้ในทุกๆปีชาวบ้านมักจะมารวมตัวกันเพื่อจัดงานบุญต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเพณีทำบุญสลากภัตซึ่งถือว่าเป็นประเพณีประจำปีที่ทุกคนนั้นจะต้องมาร่วมทำบุญร่วมกันเป็นงานบุญประจำปี

        โดยจะมีการจัดขึ้นวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 11 หรือชาวจังหวัดเชียงใหม่เรียกว่าเดือนเกี่ยวเหนือนั่นเอง  นอกจากนี้ยังมีการจัดงานเทศกาลประเพณีต่างๆอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นงานออกพรรษาหรือประเพณีเข้าพรรษาหรือฟังเทศน์มหาชาติรวมถึงประเพณีตั้งธรรมหลวงนอกจากนี้ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ของทุกๆปีชาวบ้านมาจะรวมตัวกันมาทำบุญประเพณีสรงน้ำพระบรมธาตุอีกด้วย 

          สำหรับลักษณะการออกแบบพระเจดีย์หรือแม้แต่วิหารต่างๆนั้นจะมีศิลปะแบบล้านนาโดยเฉพาะซึ่งมีความสวยงามและมีความเก่าแก่ประณีตเป็นอย่างมากเลยทีเดียว  

       สำหรับใครที่ชื่นชอบปูชนียสถานที่มีความเก่าแก่และมีความสวยงามอยากจะศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของวัดวาอารามต่างๆแนะนำว่าที่วัดบุปผารามแห่งนี้คุณจะได้รับความรู้และประโยชน์มากมายเลยทีเดียวสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ตั้งแต่ 09:00 น ถึง 21:00 น ของทุกวัน 

 

สนับสนุนโดย.      ufabet เว็บแม่

พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ  วัดเขาทำเทียม   จังหวัดสุพรรณบุรี 

           พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ    สำหรับในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักประวัติความเป็นมาของวัดแห่งหนึ่งซึ่งถือได้ว่าเป็นวัดที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรีเลยก็ว่าได้โดยวัดแห่งนี้นั้นเชื่อว่าเมื่อมีการพูดถึงชื่อวัดร้างทุกคนต้องรู้จักกันเป็นอย่างดีเนื่องจากไฮไลท์ของวัดแห่งนี้ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้วัดแห่งนี้

ให้กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปได้นั่นก็คือพระพุทธรูปหลวงพ่ออู่ทองหรือที่เรารู้จักกันดีในนามของพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและถือว่าเป็นสุดยอดความยิ่งใหญ่ของพระพุทธรูปเลยก็ว่าได้ 

         สำหรับวัดที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ก็คือวัดเขาทำเทียมซึ่งวัดแห่งนี้นั้นเป็นสถานที่ที่มีการสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่นั่นก็คือพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ หรือที่ชาวบ้านมักเรียกกันติดปากว่าหลวงพ่ออู่ทองนั่นเองซึ่งพระพุทธรูปแห่งนี้นั้นมีความสูงกว่า 180 เมตรในขณะที่ฐานของพระพุทธรูปนั้นมีความกว้างถึง 88 เมตรด้วยกัน

และถ้าหากว่าไปวัดบริเวณด้านหน้าตักของพระพุทธรูปก็จะเห็นได้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้นั้นมีกี่หน้าตักกว้างถึง 65 เมตรเลยทีเดียวที่สำคัญขนาดพื้นที่ของวัดแห่งนี้นั้นมีขนาดพื้นที่ประมาณถึง 100 ไร่และที่เป็นไฮไลท์หรือเป็นจุดเด่นที่ทำให้คนมีการพูดถึงวัดเขาทำเทียมกันมากนั่นก็คือพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ ที่มีการสร้างเอาไว้ตรงบริเวณหน้าผาด้วยหน้าผาดังกล่าวนั้นมีการตั้งชื่อว่าผามังกรบิน 

            อย่างไรก็ตามประวัติความเป็นมาระบุว่าวัดเขาทำเทียมแห่งนี้แต่เดิมไม่ได้เป็นวัดมาก่อนซึ่งที่นี่นั้นเคยเป็นเหมืองหินเก่ามาก่อนมีการสัมปทานเหมืองหินซึ่งทางจังหวัดนั้นได้มีการอนุญาตให้มีการทำเหมืองหินตรงบริเวณดังกล่าวอย่างไรก็ตามเมื่อหมดสัมปทานแล้วพื้นที่นี้ก็ได้มีกรมป่าไม้เข้ามาดูแลรับผิดชอบหลังจากนั้นจึงได้มีการสร้างวัดเขาทำเทียมขึ้นมา

            อย่างไรก็ตามเนื่องจากจังหวัดสุพรรณบุรีนั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองอู่ทองอยู่แล้วดังนั้นบริเวณที่สร้างวัดเขาทำเทียมจึงต้องการที่จะให้มีการระลึกถึงเกี่ยวกับเมืองอู่ทองเป็นหลักจึงได้มีการนำข้อมูลเกี่ยวกับประวัติทางโบราณคดีในยุคของพระเจ้าอโศกมหาราชที่ได้มีการสนใจเกี่ยวกับเรื่องของพระพุทธศาสนามาสร้างเป็นวัดแห่งนี้ซึ่งจะเห็นได้ว่าภายในวัดนอกจากจะมีพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ ยังมีธรรมจักรเป็นยอดเขาอโศกรวมถึงยังมีสิ่งก่อสร้างเยอะแยะมากมายที่น่าสนใจซึ่งสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่นั้นจะเป็นสิ่งก่อสร้างทางโบราณคดีเกี่ยวกับเรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นหลักนั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย.  ufabet auto

ประวัตินักแต่งเพลงคนแรกของโลก 

     นักแต่งเพลงคนแรก   หากมีการพูดถึงเรื่องของเสียงเพลงเชื่อว่าคนแต่ละคนนั้นมีความชื่นชอบเพลงที่แตกต่างกันออกไปบางคนชอบเพลงแนวคลาสสิคบางคนชอบเพลงแนวร็อคหรือแนวอัลเทอร์เนทีฟนอกจากนี้ปัจจุบันยังมีแนวเพลงต่างๆเกิดขึ้นมาใหม่มากมายหลายแนว 

อย่างไรก็ตามเราจะไม่สามารถตีเพลงฟังได้เลยถ้าเราขาดนักแต่งเพลงซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยหรือต่างประเทศก็ตามจะมีนักแต่งเพลงขึ้นมามากมายเต็มไปหมดในแต่ละปีนั้นจะมีนักแต่งเพลงหน้าใหม่ๆและมีการรังสรรค์ผลงานออกมาให้พวกเราได้ฟังเพลงกัน   

        หากใครที่ชื่นชอบผลงานของศิลปินด้านไหนเป็นพิเศษก็อาจจะหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของนักแต่งเพลงว่าใครเป็นคนแต่งเพลงนี้  แต่คุณรู้หรือไม่ว่านักแต่งเพลงคนแรกของโลกนั้นคือใครและใครเป็นคนแรกที่รังสรรค์ผลงานเพลงขึ้นมาให้ในปัจจุบันนี้เราได้มีเพลงฟังกันซึ่งในบทความนี้จะมีการพูดถึงประวัติของนักแต่งเพลงคนแรกให้เราได้ทราบข้อมูลอย่างละเอียดกัน 

        สำหรับนักแต่งเพลงคนแรกของโลกนั้นเขามีชื่อว่า  Hildegrad von Bingen  ซึ่งเชื่อได้เลยว่าหลายคนคงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขามาก่อนเพราะคนรุ่นหลังใหม่ๆหรืออาจจะคนส่วนใหญ่นั้นมักจะคิดว่านักแต่งเพลงในยุคแรกๆนั้นน่าจะเป็นบีโธเฟนหรือไม่ก็ Mozart นั่นเองซึ่งเป็นข้อมูลที่ทุกคนนั้นเข้าใจผิดและเข้าใจคลาดเคลื่อนเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

เพราะคนที่แต่งเพลงคนแรกนั้นไม่ใช่บุคคลในตำนานทั้งสองคนนี้แต่เป็นบุคคลที่อาจจะไม่มีใครนึกถึงได้ว่าเขาจะกลายมาเป็นนักแต่งเพลงคนแรกของโลก

        สำหรับ Hildegrad von Bingen  หนังเป็นชื่อของแม่ชีท่านหนึ่งซึ่งแม่ชีท่านนี้นับถือศาสนาคริสต์อาศัยอยู่ที่เมืองบินเงินของประเทศเยอรมนีโดยแม่ชีท่านนี้มีอายุอยู่ในช่วงประมาณปีคริสต์ศักราช 1981 ถึง 1179   Hildegrad von Bingen   ได้มีการรังสรรค์ผลงานขึ้นมาครั้งแรกเป็นการแต่งเพลงขึ้นมาด้วยตนเองไม่ใช่พัฒนามาจากโครงสร้างแนวเพลงเก่าใดๆทั้งสิ้นซึ่งมีการแต่งทำนองและเนื้อเพลงขึ้นมาใหม่เอง

ทั้งหมดด้วยผลงานที่ Hildegrad von Bingen  ได้มีการทำขึ้นมานั้นมีมากมายหลายเพลงเลยทีเดียวนอกจากนี้เนื้อเพลงแต่ละเพลงนั้นยังมีมากมายหลายประเภทมีการรวบรวมเอาไว้ในหนังสือรวมเพลง Symphony orchestra เวลาชุมนุม

     หลังจากสิ้นสุดผลงานของแม่ชี Hildegrad von Bingen   ก็มีนักแต่งเพลงคนอื่นแต่งเพลงเกิดขึ้นมาเรื่อยๆจนมาถึงในยุคปัจจุบันนี้ซึ่งแนวเพลงแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้นก็มีความแตกต่างกันออกไปแต่อย่างไรก็ตามคนที่ชื่นชอบเสียงเพลงนั้นก็จะเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนแจ่มใสและการฟังเพลงนั้นก็จะทำให้เรานั้นเพลิดเพลินและคลายเครียดได้อย่างมากเลยทีเดียว

 

สนับสนุนโดย.    ทางเข้า UFABET ภาษาไทย

ประวัติ มหาตมะคานธี 

     มหาตมะคานธี   เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อเสียงของ บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์คนหนึ่งของประเทศอินเดีย  หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญของโลกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เนื่องจากบุคคลนี้ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นอย่างมาก สำหรับชายที่เรากำลังพูดถึงอยู่ในขณะนี้ก็คือ มหาตมะคานธี  

       สำหรับชื่อจริงของเขานั้น เขามีชื่อเต็มว่า  โมฮันทาน การัมจันทร์ คานธี ท่านที่เกิดวันที่ 2 ตุลาคม ปี  ค.ศ. 1869 ที่เมืองโปรพันธะแคว้นคชรัตน์ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย    สำหรับ มหาตมะคานธี นั้นท่านนับถือศาสนาฮินดูแต่กำเนิดใช้ชีวิตอยู่ในวรรณะแพศย์ครั้งเมื่อคดีอายุ 18 ปี

มหาตมะคานธี จึงได้เรียนวิชากฎหมายที่ประเทศอังกฤษ  นอกจากนี้ยังได้มีการ ปฏิญาณต่อมารดาว่าเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสุรา และนารี อย่างเด็ดขาด 

        หลังจากการศึกษาต่อไม่นานเขาก็สำเร็จการศึกษา  แล้วหลังจากนั้น คานธี ก็ได้ เดินทางกลับอินเดียซึงตรงกับในปี ค.ศ. 1891 มหาตมะคานธีนั้นถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่และมีคุณูปการต่อผู้คนทั้งในอินเดียและระดับโลก  เลยก็ว่าได้ เพราะว่าเส้นทางของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อคานธีเปิดสำนักทนายความในประเทศอินเดียอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่ประสบความสำเร็จเขาจึงตัดสินใจทำงานเป็นทนายความให้กับนักธุรกิจชาวอินเดียมุสลิมที่มีบริษัทอยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ในปี ค.ศ.  1893 

         การไปทำงานที่แอฟริกาใต้นี้เองที่ทำให้เขาพบว่าชาวอินเดียที่เป็นแรงงานอยู่ประเทศดังกล่าวถูกปฏิบัติอย่างเอาเปรียบอย่างมาก เมื่อรู้ดังนั้น  มหาตมะคานธี  จึงตัดสินใจอยู่ที่แอฟริกาใต้เกินกว่ากำหนดและต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับแรงงานเหล่านั้นโดยใช้วิธีการต่อสู้แบบสัตยาเคราะห์คือวิธีที่ไม่ฝักใฝ่ความรุนแรงไม่ใช้กำลังแต่ใช้พลังธรรมะซึ่งการต่อสู้แบบสัตยาเคราะห์มีองค์ประกอบ 3 ประการคือ สัตย์หมายถึงความจริง

หมายถึงการไม่เบียดเบียนให้เสียเลือดเสียเนื้อและ  การดื้อแพ่งหมายถึงการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างสงบและการไม่ให้ความร่วมมือแก่ทางราชการเช่นการหยุดงานการไม่จ่ายภาษีหลังจากการต่อสู้ด้วยวิธีสัตยาเคราะห์จนประสบความสำเร็จในปี 1915 

      มหาตมะคานธี   ได้เดินทางกลับบ้านเกิดประเทศอินเดียและได้รับความไว้วางใจจากพรรคคองเกรสให้เป็นผู้นำต่อต้านกฎหมายเช่นพระราชบัญญัติ roasted ปี 1919 กฎหมายภาษีเกลือปี 1930 และเขาก็ได้กระทำการยิ่งใหญ่ต่อสู้เรียกร้องด้วยวิธีสัตยาเคราะห์จนทำให้อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1947 ในที่สุด

         มหาตมะคานธี ถึงแก่มรณภาพหลังจากที่อินเดียได้รับเอกราชเพียง 5 เดือนด้วยสาเหตุถูกลอบยิงจากชาวฮินดูหัวรุนแรงเมื่อวันที่ 30 มกราคมปี ค.ศ.1948 โดยคุณอุปการที่มหาตมะคานธีมีต่อประเทศอินเดียเขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งชาติอินเดียและขณะเดียวกันองค์การสหประชาชาติก็กำหนดให้วันเกิดของเขาคือวันที่ 2 ตุลาคมเป็นวันไม่ใช้ความรุนแรงของสากล 

 

สนับสนุนโดย.    ทางเข้า ufabet ภาษาไทย

สิ่งของที่เป็นมงคลของจีน ในเทศกาลตรุษจีน 

  

  สีแดงสี

     สิ่งของที่เป็นมงคลของจีน   สำหรับประเทศจีนหรือในช่วงเทศกาลวันตรุษจีนนั้นสีแดงคือสีแห่งมหามงคลสีแดงนั้นอยู่ในวัฒนธรรมของชาวจีนมายาวนานเป็นสีแห่งสิริมงคลอย่างแท้จริงเพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงในข้อนี้  UFABET เว็บหลัก   มาดูกันครับว่าชาวจีนใช้สีแดงทำอะไรกันบ้างไม่ว่าจะเป็นกระดานหุ้นก็ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ในการบอกว่าหุ้นขึ้นและใช้สีเขียวในการบอกว่าหุ้นตก

อย่างเช่นคำกล่าวภาษาจีนว่า ไท่หงผันแปลว่าเปิดกระดานแดงที่หมายถึงหุ้นดีดตัวสูงขึ้นตั้งแต่เปิดตลาด หรือคำว่า หง- เหริน ที่แปลว่าคนแดงก็ถูกนำมาใช้กับคำว่าคนดัง หรือคำว่า หง- อวิ้น  ที่ถ้าแปลตรงตรงก็แปลว่าโชค

        สีแดงนั้นก็ถูกนำมาใช้เรียกแทนคำว่าดวงดีหรือไม่แต่คำว่ารายชื่อเกียรติยศก็คือคำว่าคงต่างกันเองหรือไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามพระราชวังพระตำหนักหรือสิ่งปลูกสร้างสมัยก่อนของชาวจีนวัสดุส่วนใหญ่องค์ประกอบก็มักจะเลือกใช้สีแดงนอกจากนี้ที่ได้ยังถูกใช้ในพิธีมงคลต่างๆไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงานการเปิดร้านใหม่ขึ้นบ้านใหม่

หรือวันขึ้นปีใหม่อย่างวันตรุษจีนเป็นต้นจึงถือได้ว่าสีแดงนั้นขึ้นสีที่มีพลังอำนาจที่ให้แสงสว่างขับไล่สิ่งอัปมงคลภูตผีปีศาจทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไฟในเบญจธาตุของจีนและธาตุไฟในแผนภูมิผู้ป่วยที่หมายถึงแสงสว่างความอบอุ่นพละกำลังและความรุ่งโรจน์อีกด้วย

    เลข 8

        เลขแห่งความร่ำรวยเลข 8 ตามความเชื่อของชาวจีนมีความหมายถึงความร่ำรวยมั่งคั่งทวีคูณก็มีลักษณะเป็นวงกลม 2 อันซ้อนกันเหมือนการทำซ้ำหรือ Double ในขณะที่หากคลิกหมุนเลข 8 ในอีกมุมเลขนี้เป็นสัญลักษณ์อินฟินิตี้ซึ่งแปลว่าไม่มีที่สิ้นสุดด้วยเหตุนี้จึงจะอยู่บนเครื่องรางนำโชคมากมายชาวจีนเชื่อว่าการเก็บสิ่งของที่มีเลข 8 ไว้ในบ้านจะนำมา

ซึ่งโชคลาภและช่วยปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายได้หรือไม่จีนการมีห้องชุดบนชั้น 8 ถือว่าเป็นเรื่องที่มงคลอย่างยิ่งก็หมายถึงมีสวรรค์แต่ชั้นหรือความสำเร็จ 8 ชั้น

        ในประเทศจีน สิงคโปร์และไต้หวัน หากมีลูกที่เกิดในวันที่ 8 ของเดือนไม่มาเขาจะเป็นลำดับที่เท่าไหร่ของครอบครัว ก็จะถูกเรียกว่าลูก 8 หรือลูกชายแตก เพราะเป็นความภูมิใจและเป็นสิริมงคลวันที่ 8 เดือน 8 ปี 2008 ปีที่จีนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกซึ่งมีพิธีเปิดในเวลา 8 นาที 8 วินาทีห ลังจากเวลา 20:30 เข็มนาฬิกาของเวลา 20:00 น

ก็ชี้ไปที่เลข 8 หลังจากนั้นก็มีหนุ่มสาวจองคิวแต่งงานกันในวันนี้ด้วยความเชื่อในเลข 8 อันทรงพลังและไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับว่าประเทศที่ส่วนใหญ่มีชาวจีนอาศัยอยู่และใช้ภาษาจีนว่าจะเป็นจีนไต้หวันฮ่องกงมาเก๊านั้นก็เป็นพื้นที่ที่ใช้เขตเวลา GMT +8 เหมือนกันอีด้วย 

ข้อมูลเกี่ยวกับเจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิงและหอเอนเมืองปิซ่า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง

        สำหรับเจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิงนั้นนับได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจของโลกยุคกลางเพียงแห่งเดียวที่ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้วโดยมีหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับเรื่องของการถูกทำลายว่าเกิดในช่วงเหตุการณ์กบฏไท่ผิงในราวคริสต์ศตวรรษที่ 1907

ดีที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั้นเป็นหอที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แทนที่ของเดิมโดยถูกสร้างขึ้นมาในช่วงปีคริสตศักราช 2010

         สำหรับเจดีย์กระเบื้องเคลือบเมืองนานกิงนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในสมัยราชวงศ์หมิงลักษณะของตัวเจดีย์นั้นจะเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมมีทั้งหมด 9 ชั้นด้วยกัน

โดยเจดีย์ทั้งเก้าชั้นนี้นับรวมความสูงรวมกันแล้วจะสูงอยู่ที่ประมาณ 79 เมตรซึ่งตัวเจดีย์นั้นจะถูกสร้างด้วยอิฐและกระเบื้องเคลือบชายคาของเจดีย์นั้นจะมีการแขวนกระดิ่งเล็กๆเอาไว้โดยรอบของตัวเจดีย์ซึ่งถ้าหากนับจำนวนกระดิ่งแล้วก็มีทั้งหมด 80 ลูกด้วยกัน  

         สำหรับเจดีย์กระเบื้องเคลือบนี้มีความงดงามเป็นอย่างมากตัวองค์เจดีย์นั้นก่ออิฐประดับด้วยกระเบื้องเคลือบยอดแหลมเป็นทรงกลมต่อขึ้นไปเคลือบทอง

  

         หอเอนเมืองปิซ่า   

          สำหรับ หอเอนเมืองปิซ่า    สถานที่แห่งนี้นั้นปัจจุบันคือสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นบริเวณจัตุรัสดูโอโมแห่งปิซาแห่งนี้สร้างด้วยหินอ่อนซึ่งมีความสูงทั้งหมด 8 ชั้นด้วยกันโดยน้ำหนักของหอเอนเมืองปิซานี้มีน้ำหนักรวมกันแล้วประมาณ 1,500 ตันเลยทีเดียว

ว่ากันว่าหอเอนนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ 1173 ซึ่งตามความต้องการในการก่อสร้างหอเอนนี้ในครั้งแรกไม่ได้มีการสร้างเพื่อให้มีการเอนเอียงเหมือนกับในปัจจุบันที่เราเห็นกันอยู่ 

      ตอนที่ก่อสร้างนั้น ต้องการสร้างให้เป็นหอที่มีความสูงเอาไว้ใช้สอยแต่เมื่อมีการก่อสร้างถึงชั้นที่ 3 เท่านั้นปรากฏว่าหอนี้มีการเอียงเพราะว่าฐานใดฐานด้านหนึ่งนั้นมีการยึดตัวจึงทำให้หอมเพียงและสถาปนิกก็พยายามที่จะมีการสร้างต่อไปโดยพยายามสร้างให้หอเอนกับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อเป็นการถ่วงสมดุลกันอย่างไรก็ตามในขณะที่มีการก่อสร้างอยู่นั้นก็เกิดมีสงครามเกิดขึ้นทำให้ก่อสร้างนั้นต้องหยุดชะงักลงไป

           จนเมื่อสงครามสิ้นสุดลงจึงได้มีการกลับมาสร้างใหม่อีกครั้งหนึ่งทำให้ระยะเวลาการสอนสร้างนั้นเป็นค่อนข้างนานโดยรวมแล้วของเอ็งเมืองปิซานี้สร้างเสร็จเมื่อประมาณปีค.ศ 1372 ซึ่งถ้านับระยะเวลารวมในการก่อสร้างทั้งหมดนั้นจะเห็นได้ว่าใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างนานถึง 177 ปีเลยทีเดียว โดยมีการนับรวมส่วนของการสร้างหอระฆังเข้าไปด้วย 

 

สนับสนุนโดย.  สล็อต ufabet เว็บตรง

สหรัฐเผย จีน ซุ่มเพิ่มคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์1,000หัว

ซึ่งในตอนนี้มีข่าวออกมาเกี่ยวกับเรื่องของการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศจีนที่อาจจะมากกว่าที่หลายๆ สหรัฐเผย จีน ซุ่มเพิ่ม ฝ่ายคาดการณ์เอาไว้คือมากว่าถึง4เท่าในระยะเวลาอันใกล้นี้ นอกจากนั้นทางการจีนเตรียมที่จะสร้างคลังเก็บอาวุธไว้ใต้ดินอีกหลายร้อยแห่ง

ตรงนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างเขี้ยวเล็บเอาไว้ต่อตอกกับสหรัฐโดยตรงถ้าหากว่าเกิดสงครามขึ้นมาแน่นอนว่าทางสหรัฐเองได้มีการเตรียมแผนการเรื่องของอาวุธยุทโธปกรณ์อยู่เป็นระยะอยู่แล้วก่อนหน้านี้เพิ่งจะออกมาประกาศว่าสหรัฐเป็นชาติที่มีทั้งกำลังทหารมีทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของโลกเลยก็ว่าได้

ล่าสุดสหรัฐได้ทำการซุ่มทดสอบการทิ้งระเบิดเป็นระเบิดแบบ “เทอร์โมนิวเคลียร์ “ จากการโจมตีด้วยเครื่องบินขับไล่ร่องหนด้วยมีชื่อว่า F35A การทดสอบล่าสุดนี้ทางฝั่งของสหรัฐกันก่อนโดยกองทัพอากาศสหรัฐได้เริ่มต้นทดสอบค้นสุดท้ายสำหรับการโจมตี

โดยเครื่องบินขับไล่ร่องหน F35A ด้วยการทิ้งระเบิด “เทอร์โมนิวเคลียร์ “ หรือว่าระเบิดแรงโน้มถ่วงB6 11 12 หรือแบบไม่ได้ติดหัวรบเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาจากการทดสอบพบว่าพลาดเป้าไปเพียง30เมตรเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงถือว่ามีประสิทธิภาพดีในการยิงไปยันเป้าหมาย

เนื่องจากนี้ระเบิดแรงโน้มถ่วง B6 11 12 นี้ถือว่าเป็นระเบิดรุ่นใหม่ล่าสุดที่พัฒนาต่อยอดมาจากระเบิดแรงโน้มถ่วง B6 11 ซึ่งเป็นอาวุธ “เทอร์โมนิวเคลียร์ “ ขั้นต้นแล้วก็ถูกเก็บไว้ในคลังของสหรัฐตั้งแต่สิ้นสุดยุคสงครามเย็นเพราะฉะนั้นการทดสอบเที่ยวล่าสุด

ถือว่าเป็นความสำเร็จแล้วก็เป็นก้าวที่สำคัญในการรับรองการใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ที่จะถูกนำไปใช้ติดตั้งบนเครื่องบินขับไล่ร่องหนรุ่นล่าสุดF35Aในอนาคตอันใกล้นี้

นอกจากนี้มีรายงานใหม่ของเพนตากอนหรือว่ากระทรวงกลาโหมของสหรัฐออกมาด้วยในรายงานฉบับนี้ระบุว่าจีนกำลังขยายคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์อย่างรวดเร็วมากกว่าที่สหรัฐได้คาดการณ์เอาไว้เมื่อหนึ่งปีก่อนโดยคาดการณ์ว่าจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของจีนจะเพิ่มมากขึ้นถึง 700 หัวรบใน 6 ปีข้างหน้านี้แล้วก็อาจจะเพิ่มทะลุถึง 1,000 หัวรบภายในปี 2030 

ซึ่งก็นับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นมากกว่า4เท่าจากที่เพนตากกอนเคยประเมินเอาไว้เพียงเมื่อ1ปีก่อนทว่า จีน มีหัวรบนิวเคลียร์ในระดับต่ำประมาณสัก200หัวรบเท่านั้นแล้วก็จะเพิ่มขึ้นเป็น2เท่าภายในสิ้นทศวรรษนี้

นอกจากนี้ก็ยังมีการยืนยันด้วยว่าจีนได้เริ่มการก่อสร้างลาดเก็บขีปนาวุธใต้ดินแห่งใหม่อย่างน้อยๆสร้างถึง3แห่งด้วยกันแล้วได้สร้างไซโลใต้ดินนับร้อยๆแห่งด้วยเพื่อเก็บขีปนาวุธข้ามประเทศICBMและจะสามารถยิงICBMออกไปจากไซโลที่อยู่ใต้ดินเหล่านี้ได้โดยตรงด้วย

ทางเพนตากอนนั้นเชื่อว่าจีนนั้นมีจุดประสงค์ให้กองทัพจีนสามารถที่จะสู้รบและเอาชนะในสงครามเหนือศัตรูที่เข้มแข็งแน่นอนหมายถึงสหรัฐนั่นเอง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    gclub slot ทดลองเล่น

เครื่องบินทำไมต้องทิ้งถังน้ำมันกลางอากาศ

ทิ้งถังน้ำมันกลางอากาศ ซึ่งวันนี้เรามีเรื่องราวความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเครื่องบินรบมาฝากทุกท่านกันถ้าหากว่าทุกคนเคยเห็นเครื่องบินรบกันเราจะเห็นว่าตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายลำมันจะมีถังที่มันเป็นรูปทรงกระบอกติดอยู่ใต้ท้องเครื่องบิน 

โดยมันมีรูปร่างเหมือนกับระเบิดมากๆเลย ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นระเบิดแต่ว่ามันไม่ใช่ เจ้าถังแบบนี้มันคือถังน้ำมันยกตัวอย่างเช่นเครื่องบินF16 เราจะเห็นว่าเครื่องบิน F16 ลำนี้มีถังน้ำมันอยู่ข้างใต้ปีกจำนวน2อัน และ ถ้าเกิดว่าใครได้ดูหนังหรือสาระคดีเกี่ยวกับเครื่องบินรบพวกนี้เราจะเห็นว่าเขามีการปลดถังน้ำมันนี้ออกกลางอากาศทันที

ดังนั้นเขาปลดเพื่ออะไรกันเดี๋ยววันนี้เราจะมีคำตอบมาเล่าให้คุณได้อ่านกันหากพร้อมแล้วก็ไปชมกันได้เลย การปลดถังน้ำมันของเครื่องบินรบมันเกิดขึ้นเมื่อเครื่องบินลำนั้นต้องเข้าสู่การต่อสู้ ซึ่งหลายคนก็อาจจะเดากันได้ว่าที่ปลดออกมา

เพื่ออะไรกัน ก็เพื่อป้องกันในการโจมตีจากศัตรูแต่ว่ามันยังได้มีเหตุผลอื่นอีก ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนเลยว่าจริงๆแล้วในตอนแรกถังน้ำมันมันถูกติดเสริมมาในเครื่องบินรบเพื่ออะไรกัน

เพราะว่าในยุคก่อนเครื่องบินรบมันไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนกับในยุคนี้ประกอบกับถังน้ำมันภายในตัวเครื่องบินมันก็เล็กทำให้ระยะทางในการปฏิบัติการค่อนข้างที่จะสั้นกองทัพหลายประเทศจึงได้มีการสร้างถังน้ำมันติดอยู่นอกเครื่องเพื่อที่จะเพิ่มระยะปฏิบัติการของเครื่องบินดังกล่าว

แต่พอติดมาแล้วถึงระยะการบินมันเพิ่มขึ้นก็จริงแต่มันกลับได้สร้างข้อเสียงอย่างใหญ่หลวงงอย่างต่อสู้กันบนอากาศเพราะอย่างที่หลายคนน่าจะเดาได้ว่าถังน้ำมันนี้มันจะกลายมาเป็นจุดอ่อน ถ้าเกิดโดนโจมตีตรงจุดนั้นมันอาจจะทำให้เครื่องบินนั้นติดไฟและระเบิดกลางอากาศได้เลย

ซึ่งนี่ก็จะเป็นข้อเสียอย่างใหญ่หลวงที่จะต้องแลกกันไปแต่ถ้ามาเป็นในยุคสมัยนี้เรื่องเชื้อเพลิงก็ยังคงเป็นปัญหาสำหรับเครื่องบินรบอยู่นอกจากนี้เขายังได้เพิ่มกลไกลอย่างหนึ่งขึ้นมาเป็นกลไกลปลดถังน้ำมันออกกลางอากาศหากต้องเข้าสู่สมรภูมิหรือการต่อสู้ขึ้นมา

เนื่องจากว่าเหตุผลเดียวกับสงครามโลกครั้งที่1ถ้าเกิดว่าถูกโจมตีที่ถังน้ำมันเครื่องบินอาจจะไฟรุกแล้วระเบิดได้เพราะจริงๆแล้วเครื่องบินสมัยใหม่มันไม่ได้เบาะบางขนาดนั้นเรียกได้ว่าเกราะมันไม่ได้หนา แต่ถ้าเกิดโดนโจมตีด้วยกระสุนโพรเจกไทล์ไม่ใช่พวกจรวดนำวิถีหรือขีปนาวุธอย่างนี้มันยังสามารถรับการโจมตีและบินต่อไปได้มันไม่ได้ร่วงทันทีถ้าไม่ได้หนักมาก

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.    Ufabet เข้าสู่ระบบ

เรื่องราวของชาวโอมยาคอน (หมู่บ้านที่หนาวที่สุดในโลก)

หมู่บ้านที่หนาวที่สุดในโลก เนื่องจากพวกเขาต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการฆ่าสัตว์พวกเขาจึงต้องทำการบูชาต่อเทพที่ต้องปกป้องธรรมชาติอยู่ตลอดเวลารูปร่างที่เตี้ยผิวสีจางและโครงร่างที่แข็งแรงคือคุณลักษณะของคนที่อยู่ที่นี่ ซึ่งปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศได้ เนื่องจากรัฐบาลของซาฮาได้ช่วยดูแลคนเล่ร่อนของโอมยาคอนมันจึงไม่ยากในการดำรงชีวิตอยู่ที่นี่

แม้จะถูกตัดขาดและต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่โหดร้ายแต่ชีวิตของที่นี่ก็เรียบง่าย

ชีวิตของคนที่นี่ยังคงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งในอดีตกระทั่งประเทศที่ทรงอิธิพลอย่างสหภาพโซเวียดก็ยังไม่สามารถที่จะเปลี่ยนคนเหล่านี้ได้ การถักเสื้อผ้าจะเป้นการนำด้ายที่ทำขึ้นมาจากขนกวางเรนเดีย พวกเขาจะออกไปตามกวางเรนเดียถ้าพวกมันหนีออกไปและถ้าพวกมันหายก็จะรอแทนที่จะบีบบังคับธรรมชาติ พวกเขาเหล่านี้ยังเดินตามวิถีเก่าแก่ด้วยการเดินตามธรรมชาติ

อุณหภูมิในโอมยาคอนยังคงลดต่ำลง กระทั่งพวกวัวก็ต้องเตรียมให้พร้อมเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศที่หนาวเย็นมักจะทำให้ความสบายของพวกเขาใช้การไม่ได้ ทุกบ้านจะมีประตูสามชั้นถึงแม้จะถูกป้องกันไว้อย่างดีแต่สายไฟก็มักจะกลายเป็นน้ำแข็ง

น้ำแข็งที่เกาะอยู่บนเพดานดูแล้วไม่ต่างจากหินย้อยที่อยู่ภายในถ้ำ สถานการณ์เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้นกับทุกบ้าน ส่วนใหญ่แล้วปัญหาไฟดับของที่นี่มักจะเกิดขึ้นเพราะสายไฟหรืออุปกรณ์กลายเป็นน้ำแข็ง ปัญหานี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นกับทุกบ้าน แต่ว่าก็ไม่มีอะไรที่จะแก้ไขกันไม่ได้

ไม่มีท่อประปาในโอมยาคอนแต่พวกเขาจะตัดก้อนน้ำแข็งออกมาแล้วละลายเพื่อนำไปทำเป็นน้ำดื่มบ่อน้ำในท่อจะแข็งตัวตลอดทั้งวันถ้าพวกเขาติดตั้งท่อน้ำ ดังนั้นจึงไม่มีน้ำประปาที่นี่ เขาจะต้องทำการละลายน้ำแข็งเพื่อจำนำไปเป็นน้ำดื่ม และเขาจะต้องนำน้ำไปเลี้ยงสัตว์ด้วย

ครอบครัวส่วนใหญ่ในโอมยาคอนจะเลี้ยงสัตว์ไว้หลายตัว ชาวซาฮาไม่สามารถทำฟาร์มหรือในช่วงแปดเดือนของฤดูหนาวในแต่ละปี สำหรับพวกเขาวัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีค่าที่ทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ในฤดูหนาวที่โหดร้าย วัวจึงเป้นเหมือนกับสมาชิกในครอบครัวมากกว่าเป็นสัตว์เลี้ยง

แม้อากาศจะหนาวเหน็บแต่ว่าชาวโอมยาคอนก็มีชีวิตอยู่อย่างสบาย อาหารของพวกเขามีอยู่อย่างเหลือเฟือและเต็มไปด้วยไขมัน นั่นก็เพราะพวดเขาจะต้องอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งวัน บ้านเรือนที่นี่จะเต็มไปด้วยสมาชิกครอบครัวและอาหารที่ร้อนความอบอุ่นภายในบ้านและจากเตาทำให้ดินแดนสุดโหดนี้เป้นสถานที่ที่น่าอยู่ที่สุดในโลก

 

สนับสนุนโดย.  www.ufabet.com ลิ้งเข้าระบบ

ประวัติพราหมณ์พาวรี

         ประวัติพราหมณ์พาวรี หลายคนไม่คุ้นหูชื่อพราหมณ์พาวรีกันมากนักเพราะว่าแท้ที่จริงแล้วพาวรีนั้นไม่ค่อยมีชื่อเสียงโด่งดังเกี่ยวกับเรื่องของการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้กับพระพุทธเจ้ามากนักซึ่งตามประวัติความเป็นมาของพราหมณ์พาวรีแล้วระบุว่าพราหมณ์พาวรีนั้นเกิดขึ้นมาในช่วงสมัยของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกันโดยพราหมณ์พาวรีนั้นเป็นลูกของปุโรหิตในราชสำนักของกรุงสาวัตถี

         ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงของการครองราชย์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล

โดยตามประวัติแล้วพราหมณ์พาวรีนั้นเป็นลูกหลานของตระกูลพราหมณ์ซึ่งโดยปกติแล้วในสมัยโบราณนั้นยังไม่ได้มีศาสนาภายในพระราชวังจะมีพราหมณ์ที่จะคอยหาฤกษ์งามยามดีให้กับกษัตริย์ซึ่งหลังจากที่ภาวดีเกิดมาก็ได้ดำรงตำแหน่งตามครอบครัว

โดยรับตำแหน่งเป็นพระพุทธแต่หลังจากเมื่อมีการเติบโตเจริญวัยขึ้นก็เริ่มอย่าที่จะมีรัฐที่เป็นของตนเองจึงลาออกจากราชการแล้วก็มาบวชเป็นชรินทร์ตามลัทธิพราหมณ์หลังจากนั้นก็ย้ายมาอยู่แถวบริเวณเขตชายแดนเมืองโอซาก้าและเมืองหักอะซึ่งเปิดสำนักอยู่ใกล้กับริมแม่น้ำโคธาราวดีโดยมีการเปิดสอนเกี่ยวกับไตรเพท

          อย่างไรก็ตามเมื่อพราหมณ์พาวรีมีการเปิดสำนักเป็นของตนเองปรากฏว่ามีลูกศิษย์ลูกหามากมายต่อมาพระอภัยมณีได้รู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าชายที่ชื่อว่าเจ้าชายสิทธัตถะที่หนีออกจากวังและออกมาบวชหลังจากนั้นเจ้าชายสิทธัตถะนั้นก็เป็นพระอรหันต์และเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทางภวรีนั้น

อยากจะรู้ว่าข่าวลือที่ได้ยินนี้เป็นความจริงหรือไม่ดังนั้นพราหมณ์พาวรีจึงได้ส่งลูกศิษย์ของตนเองจำนวนทั้งหมด 16 คนด้วยกันซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ พราหมณ์พาวรีนั้นไว้วางใจเป็นอย่างมาก ให้เดินทางมาหาพระพุทธเจ้าซึ่งในขณะนั้นพระพุทธเจ้าเองนั้นก็อยู่แคว้น มคธ  อยู่ตรงบริเวณปาสาณเจดีย์  

          การเดินทางไปหาพระพุทธเจ้าในครั้งนั้น พราหมณ์พาวรี ได้มีการแต่งตั้งอชิตมานพให้เป็นหัวหน้าพราหมณ์ทั้งหมดในการเดินทางไปหาพระพุทธเจ้า แล้วก็มีคำถามฝากไปถามพระพุทธเจ้าซึ่งคำถามนั้นเป็นปัญหาทั้งหมด 16 16 ข้อมูลด้วยกัน  ซึ่งตามแต่ละคนนั้นก็จะมีการเตรียมคำถามไปคนละหมวด   

    แน่นอนว่าเมื่อไปเจอกับพระพุทธเจ้าแล้วและได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนและถามคำถามกับพระพุทธเจ้าทำให้มานพทั้ง 15 คน ได้เข้าใจถึงหลักธรรมคำสั่งสอนและในที่สุดก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้แต่ว่ามีมานพอยู่ 1 คนซึ่งมานพคนนี้นั้นเป็นหลานของพราหมณ์พาวรี  มีชื่อว่า ปิงคิยมาณพ ไม่สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้

        เนื่องจากว่าในขณะที่มีการฟังคำสอนมาเทศนาของพระพุทธเจ้านั้น

จิตใจนั้นฟุ้งซ่านมัวแต่คิดถึงลุงของตนเองเสียดายที่ลงของตนเองไม่ได้มาเจอกับพุทธพระพุทธเจ้าเองเพราะถ้ามาเจอแล้วก็คงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์เหมือนกันดังนั้นเมื่อจิตใจไม่นิ่งก็จึงทำให้ฟังธรรมแล้วไม่รู้แจ้งเห็นจริงจึงไม่สามารถเป็นบรรลุพระอรหันต์ได้แต่ว่าก็สามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันได้นั่นเอง

         อย่างไรก็ตามมานพทั้ง 16 คนที่เดินทางมากราบไหว้พระพุทธเจ้าและถามคำถามนั้นทุกคนเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมากท้ายที่สุดแล้วทุกคนนั้นก็ทำการบวชกับพระพุทธเจ้าและเมื่อบวชเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พากันเดินทางกลับไปหาพราหมณ์พาวรี  หลังจากนั้นก็นำคำตอบไปตอบให้กับพราหมณ์พาวรี

ซึ่งเมื่อพราหมณ์พาวรี ได้ฟังคำตอบแล้วก็สามารถเข้าใจได้และสามารถบรรลุเป็นพระอนาคามี  อย่างไรก็ตามทางด้าน  ปิงคิยมาณพ ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับพระธรรมเพิ่มมากขึ้น และได้มีการไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรมเทศนาจนในที่สุดก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    ufabet ฝากเงิน ออโต้