grandprixactual (1)
Search
Close this search box.

Category: ประวัติและตำนาน

ประวัติองคุลีมาลเถระ 

      หากใครได้มีการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพระพุทธเจ้าจะเห็นได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่พระพุทธเจ้านั้นได้มีการส่งสอนพระธรรมเทศนาให้กับโจรใจบาปคนหนึ่งที่มีชื่อว่าองค์คุลีมาล ประวัติองคุลีมาลเถระ  ซึ่งสนใจบาปคนนี้นั้นเป็นโจรที่ฆ่าชีวิตผู้คนมานับไม่ถ้วนโดยมีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าเขาจะต้องมีการฆ่าคนให้ได้ครบ 1000 คน

อย่างไรก็ตามวันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติขององคุลิมาลกันว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นโจรที่คิดฆ่าคนได้ถึง 1000 คนและทุกคนที่เขาฆ่านั้นเขาจะมีการตัดนิ้วเอามาแขวนคอเอาไว้ด้วย 

      ตาม ประวัติองคุลีมาลเถระ ก่อนที่จะกลายมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้านั้นองคุลีมาลนั้นแท้ที่จริงแล้วเขาคือลูกปุโรหิตคนหนึ่งในราชสำนักซึ่งองคุลีมาลนั้นเกิดมาในยุคตอนต้นของการเริ่มต้นการเผยแพร่พระพุทธศาสนาซึ่งยุคนั้นเป็นยุคของพระเจ้าปเสนทิโกศลปกครองบ้านเมืองอยู่   องคุลีมาลนั้นเป็นคนที่เรียนวิชาอาคมเก่งกล้าเข้าได้เรียนกับอาจารย์ท่านหนึ่ง

        ซึ่งอาจารย์ท่านนี้อยู่ที่เมืองตักกสิลาในขณะที่ตัวคุลิมาลเองนั้นเป็นลูกของปุโรหิตที่อยู่เมืองสาวิถี  เนื่องจากว่าองคุลิมาลนั้นเป็นเด็กที่เรียนใฝ่ดีและเรียนเก่งมากจึงเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์ทุกคนแน่นอนว่าเมื่อมีคนรักย่อมมีคนเกลียดบรรดาลูกศิษย์ลูกหาคนอื่นๆนั้นมีความอิจฉาริษยาในตัวองคุลีมาลมากเพราะอาจารย์ทุกคนก็มีแต่คนรัก

           ดังนั้นจึงมีลูกศิษย์คนหนึ่งได้ไปยุยงอาจารย์โดยบอกว่าองคุลิมาลนั้นจะเป็นศิษย์คิดล้างครูจะทำร้ายอาจารย์  ซึ่งอาจารย์คนดังกล่าวก็หลงเชื่อจึงคิดจะกำจัดองคุลิมาลก่อนและได้บอกตรงคิมานถึงเคล็ดลับวิชาว่าจะมีวิชาสุดยอดวิชาหนึ่งก่อนที่จะเรียนวิชานี้องคุลิมาลจะต้องมีการฆ่าคนให้ครบ 1000 คนเสียก่อนที่มาหลงเชื่ออาจารย์จึงได้ออกเดินทางเพื่อฆ่าคนซึ่งองคุลิมาลนั้นพอเริ่มฆ่าคนแล้วก็จำไม่ได้ว่าตนเองถ้าไปแล้วกี่คน

       ดังนั้นหลังจากนั้นองคุลิมาลก็ตัดนิ้วของศพที่ตัวเองค่าและนำมาแขวนคอเพื่อที่จะได้เอามานับว่าครบ 1000 คนหรือยังซึ่งองคุลีมาลฆ่าได้แล้ว 999 คนปรากฏว่าคนที่หนึ่งพันนั้นคือพระพุทธเจ้าองคุลีมาลพยายามไล่ข้าพระพุทธเจ้าแต่ก็ไม่สามารถที่จะไล่ตามทันจนท้ายที่สุดพระพุทธเจ้าก็ได้มีการอบรมให้ความรู้สั่งสอนพระธรรมเทศนาแก่องค์คุริมานจนในที่สุดองคุลิมาลก็เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาหลังจากนั้นก็เลิกฆ่าคนและออกบวชเป็นพระท้ายที่สุดองคุลิมาลก็ถูกเรียกว่าเป็นพระองคุลิมาลเถระเป็นสาวกคนหนึ่งที่นับถือพระพุทธเจ้าอย่างมากเลยทีเดียว 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย.    sa gaming ขั้นต่ำ 5 บาท

เปิดประวัติแบรนด์ Chanel  

            เปิดประวัติแบรนด์ Chanel   หากพูดถึงแบรนด์ Chanel แล้วเชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหรือเสื้อผ้าราคานั้นไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นเลยทีเดียวเป็นสินค้าหรูที่หลายคนอยากได้ใช้เป็นแบรนด์ที่หญิงสาวทั่วโลกอยากได้มาครอบครองสำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของแบรนด์ Chanel ว่ามีจุดเริ่มต้นมาอย่างไรบ้าง

        เชื่อว่าหลายคนคงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วแบรนด์ชาแนลนั้นเกิดมาจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเธอมีนามสกุล Chanel   หญิงสาวคนนี้นั้นเป็นหญิงสาวชาวฝรั่งเศสเธอเกิดในช่วงปีค.ศ 1883 ซึ่งครอบครัวของเธอนั้นมีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 5 คน

โดยครอบครัวของเธอนัทมีฐานะที่เรียกว่ายากจนมากเลยทีเดียวชั้นแนวมีอายุได้แค่ 12 ปีแม่ขอเธอก็เสียชีวิตหลังจากนั้นพ่อของเธอก็นำเธอและพี่ๆไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพ่อของเธอก็ไม่เคยกลับมาหาลูกๆอีกเลย

        Chanel เป็นคนที่ชื่นชอบการเย็บปักถักร้อยเธอมักจะเย็บเสื้อผ้าและทำเครื่องประดับเมื่อมีเวลาบ้างหลังจากที่เธออยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไร่จนอายุ 18 ปีแล้วก็ย้ายไปอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง เปิดประวัติแบรนด์ Chanel ซึ่งเป็นหอพักสำหรับเด็กผู้หญิงที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกหลังจากนั้นเธอก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเย็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมและเธอก็ใช้การตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นวิชาชีพในการหาเลี้ยงตนเองต่อมา Chanel ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาเป็นลูกชายของมหาเศรษฐีแต่ฝ่ายชายนั้นเป็นเพลย์บอยจึงเป็นเพียงได้แค่เมียเก็บของเขาเพียงเท่านั้น

          อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาได้มาเป็นเมียเก็บของเพลย์บอยที่ชื่อว่า เอเตียน บัลซอง Chanel ก็เริ่มเข้าไปใช้ชีวิตสังคมไฮโซใช้สิ่งของหรูหราฟุ่มเฟือยไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับหลังจากนั้น เอเตียน บัลซองได้มีการลงทุนเปิดร้านให้เธอเพื่อให้เธอขายของที่เธอชื่นชอบและยังได้แนะนำให้ Chanel รู้จักกับบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านหนึ่งในนั้นก็คือเพื่อนของเขาที่ชื่อว่า  เอ็ดเวิร์ด คาเปล   

          ซึ่งชายหนุ่มคนนี้ตกหลุมรักชาแนลตั้งแต่แรกเห็นและ Chanel ก็ทนคบอยู่กับแฟนหนุ่มคนแรกของเธอเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้นหลังจากนั้นก็เลิกรากันและมาคบกับ เอ็ดเวิร์ด คาเปล    แทน แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงสถานะเป็นเพียงแค่เมียน้อยเหมือนเดิมเท่านั้นเนื่องจากว่า เอ็ดเวิร์ด คาเปล    ก็มีคู่หมั้นแล้วเช่นเดียวกันแต่ทั้งคู่ก็คบกันจนในที่สุด Chanel ก็เสียชีวิตลง

      อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ Chanel คบกับ เอ็ดเวิร์ด คาเปล   นั้นเขาได้มีการลงทุนให้เธอเปิดร้าน เสื้อผ้าและร้านขายหมวกตามที่เธอใฝ่ฝันสินค้าของเธอได้รับความนิยมมากหลังจากที่มีนักแสดงสาวคนหนึ่งนำหมวกของเธอไปใส่ในการถ่ายทำภาพยนตร์ถึง 2 เรื่องด้วยกันหลังจากนั้นคนในวงสังคมไฮโซต่างก็พากันชื่นชอบสินค้าแบรนด์ของเธอมีความรักและผลงานของเธอก็โด่งดังไปทั่วโลกจนทุกวันนี้แบรนด์ชาแนลจึงเป็นอันดับต้นๆของโลกที่มีราคาแพงมากๆ 

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย    บาคาร่า w88

ตำนานที่มีความน่ากลัวอย่างมากของประเทศญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นได้เป็นเมืองที่ได้มีความสวยงามของประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ ซึ่งจะเป็นประเทศที่ได้มีความน่าท่องเที่ยวอย่างมาก แต่ในการที่ได้มีประเพณีที่มีความสวยงามน่าไปท่องเที่ยวนั้นก็ได้มีตำนานที่ได้มีความน่ากลัวเช่นกัน

ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นนั้นก็ได้มีความเชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจ และได้มีความเชื่อในตำนานต่างอีกด้วย ซึ่งในตำนานของประเทศญี่ปุ่นั้นก็ได้มีความหลากหลายอย่างมาก และได้มีความประหลาดมากๆอีกด้วย

และนอกจากนี้ไม่เพียงแค่ว่าจะมีการพูดถึงของภูติผีต่างๆเพียงเท่านั้น แต่ยังมีสถานที่ที่ได้มีความน่ากลัวอย่างมากอีกด้วย และในตำนานที่ได้มีความน่ากลัวของประเทศญี่ปุ่นนั้นก็ได้มีตำนานได้หลากหลายเช่น

  1. นูเระ อนนะ หรือผู้หญิงเปียก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปีศาจที่สามารถที่จะอยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ ซึ่งในตำนานได้มีการกล่าวไว้ว่าได้เป็นผู้หญิงที่มีลำตัวนั้นเป็นงู และในความยาวของลำตัวของเธอนั้นก็ได้มีความยาวอย่างมาก ซึ่งได้มีความยาวมากถึง300เมตรเลยทีเดียว ซึ่งได้มีความเชื่อว่านูเระ อนนะ นั้นได้เป็นวิญญาณของหญิงสาวที่ได้มีความแค้นของผู้หญิง ซึ่งได้อยู่ตามน้ำหรือตามชายหาดที่ได้มีความเงียบสงบอย่างมาก และในการที่ใครนั้นได้มีการลงไปเล่นน้ำนั้น จะมีการที่ถูกปีศาจตนนี้ลากลงไปในน้ำอีกด้วย
  2. ฮิโตบาชิระ คือเสามนุษย์เป็นเสาหลักในตำนานของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ที่ได้มีการใช้การสังเวยผู้คนทั้งเป็นไว้ใต้อาคาร หรือเขื่อนสะพานต่างๆ ซึ่งได้เป็นการที่การที่จะอธิฐานต่อเทพเจ้า เพื่อที่จะทำให้การก่อสร้างนั้นสามารถที่จะทำไปได้อย่างลุล่วง ซึ่งเราจะสามารถที่จะเห็นเสามนุษย์นี้จะสามารถที่จะทำการพบเห็นได้มากในเมืองต่างๆอีกด้วย
  3. โกซู เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ได้มีความน่ากลัวอย่างมากของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้เป็นที่รู้จักในนามของหัววัว ซึ่งในตำนานหัววัวนี้ก็คือ มีวันหนึ่งได้มีเด็กและอาจารย์กลุ่มหนึ่งนั้นเกิดการเยื่อขึ้นในระหว่างการที่ทำการเดินทาง ซึ่งครูนั้นก็ได้มีการที่ทำการเล่าเล่าเรื่องสยองขวันหรือหนึ่งให้กลุ่มนักเรียนนั้นฟังในการที่เดินทาง

ซึ่งครูนั้นก็ได้มีการที่เล่าเรื่องของหัววัวนี้ขึ้นมา และเด็กๆนั้นก็ได้มีความสนใจกันอย่างมาก แต่ได้มีความน่ากลัวอย่างมากของเรื่องเล่าที่ครูที่ได้เล่าอยู่ ซึ่งครูนั้นได้เล่าจนเด็กทั่งหลายนั้นได้มีการให้ครูนั้นหยุดเล่าเรื่องนี้

แต่ครูนั้นไม่สามารถที่จะหยุดเล่าเรื่องนี้ได้ และได้มีการที่เล่าต่อไปเรื่อย จนกระทั่งรถได้มีการหยุดบนถนน ซึ่งเด็กและคนขับรถต่างๆนั้นไม่สามารถที่จะทำการเคลื่อนไหวได้ และในเวลาต่อมานั้นก็สามารถที่จะขยับตัวได้ แต่ไม่สามารถที่จะทำการจำเรื่องทั้งหมดนั้นได้ และได้มีการที่ลืมเรื่องที่ได้เล่าไปอีกด้วย

 

 

ขอขอบคุณที่ให้การสนับสนุนโดย.    สมัครเว็บ ufabet

ประวัติปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวดรักษาโรคห่าให้เหือดหาย 

          เชื่อว่าหากพูดถึงชื่อหลวงปู่ทวด  สำหรับคนรุ่นก่อนๆหรือคนรุ่นใหม่ที่สนใจเกี่ยวกับประวัติของพระน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีเนื่องจากว่าปัจจุบันนี้หลวงปู่ทวดยังคงมีชื่อเสียงโด่งดังและถ้าใครมีเหรียญหลวงปู่ทวดสามารถที่จะรวยกลายเป็นเศรษฐีได้เลยทีเดียว ตามตำนานของหลวงปู่ทวดรู้จักกันดีในนามของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

        ซึ่งปัจจุบันนั้นลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ทวดยังคงมีมากมายหลายแสนคนที่อยู่ในประเทศไทย  และปัจจุบันชื่อเสียงของหลวงปู่ทวดก็ยังคงมีให้ได้ยินอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะคนที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของประวัติอภินิหารของหลวงปู่หลวงพ่อต่างๆนั่นเอง

สำหรับบทความในครั้งนี้จะมีการพูดถึงปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ทวดซึ่งนอกจากท่านจะสามารถเหยียบน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำจืดได้แล้วท่านยังมีอภินิหารสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วยซึ่งโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นและเป็นที่สร้างความอัศจรรย์ใจที่ท่านรักษาให้หายได้นั่นก็คือโรคห่า  

         โดยมีตำนานประวัติเล่าเรื่องของหลวงปู่ทวดในการรักษาโรคหาว่าในครั้งนั้นมีเหตุการณ์โรคห่าระบาดเกิดขึ้นในเขตกรุงศรีอยุธยา  มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากชาวเมืองต่างได้รับความเดือดร้อนและในสมัยโบราณนั้นก็ยังไม่มีหมอที่จะสามารถรักษาอาการโรคหาให้หายขาดได้ไม่มีใครรู้ว่าโรคห่าเกิดขึ้นมาจากสาเหตุอะไรและเมื่อมีโรคขาดเกิดขึ้นก็มีการระบาดไปทั่วทำให้ผู้คนต่างพากันหวังกลัวโลกนี้มาก   

       อย่างไรก็ตามในสมัยก่อนนั้นการรักษาโรคภัยไข้เจ็บนั้นส่วนใหญ่ก็จะพึ่งพวกหมอผีหรือคนที่มีวิชาอาคมหรือไม่ก็จะไปพึ่งพระสงฆ์พระคุณรัตนตรัยให้ช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย  และเหตุการณ์หาระบาดในครั้งนั้นเองทางด้านหลวงปู่ทวดก็ได้แสดงอภินิหารอีกครั้งหนึ่งด้วยการรักษาคนที่ป่วยด้วยโรคห่าเพียงแค่หลวงปู่ทวดนั้นทำน้ำมนต์วิเศษแล้วนำไปปรับปรุงให้กับประชาชนชาวเมืองทั่วทั้งพระนครศรีอยุธยา  

            หลังจากใครก็ตามที่ได้รับน้ำมนต์จากหลวงปู่ทวดพวกเขาเหล่านั้นก็จะหายจากอาการป่วยเป็นโรคห่า  ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นชาวเมืองอยุธยารอดพ้นจากการตายด้วยโรคห่าจากน้ำมนต์ของหลวงปู่ทวดทำให้พระเจ้าอยู่หัวสมเด็จพระเอกาทศรถทรงชื่นชมหลวงปู่ทวดเป็นอย่างมาก

จึงได้ถวายบรรดาศักดิ์ให้หลวงปู่ทวดเป็นพระสังฆราชครูบาอาจารย์   และยังป่าวประกาศอีกด้วยว่าหากหลวงปู่ทวดมีความต้องการที่จะไปสร้างวัดหรือจะไปบูรณะซ่อมแซมวัดที่ไหนก็แล้วแต่สมเด็จพระเอกาทศรถจะทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่างเลยทีเดียว

 

สนับสนุนโดย.    ufabet สมัคร

ความเชื่อเกี่ยวกับความตายของคนอียิปต์ 

  สำหรับความตายทุกคนไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงหนีกันไปพ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับความตายนั้นในประเทศอียิปต์มีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของการใช้ชีวิตหลังความตายเอาไว้

ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีกันมาตั้งแต่ในสมัยโบราณซึ่งเราสามารถที่จะรู้ได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่นักโบราณคดีสามารถขุดค้นพบได้จากสุสานของฟาโรห์ราชาที่ปกป้องคุ้มครองประเทศอียิปต์ โดยความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณนั้นมีความเชื่อกันว่าเมื่อมีการตายเกิดขึ้นวิญญาณนั้นจะมีการจากร่างกายออกไปเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น

ซึ่งตอนที่วิญญาณออกจากร่างนั้นวิญญาณจะมีการเดินทางไปพบกับพระเจ้าหลังจากนั้นวิญญาณก็จะกลับมาสู่ร่างของตนไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน โดยชาวอียิปต์โบราณมีการเชื่อกันว่าเมื่อวิญญาณกลับมาแล้วก็ต้องมีร่างที่เอาไว้สิงสถิตซึ่งล่างนั้นก็ควรจะต้องเป็นร่างของตนเองเพียงเท่านั้นดังนั้นคนอียิปต์ในสมัยโบราณจึงมักมีการเก็บร่างกายของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วเอาไว้

และด้วยความเชื่อนี้เองคนอียิปต์ในสมัยโบราณจึงต้องมีวิธีการเก็บร่างกายของคนที่เสียชีวิตไปแล้วซึ่งเรารู้จักกันดีว่าวิธีการนั้นก็คือการทำ มัมมี่นั่นเอง สำหรับการทำมัมมี่นั้นจะเป็นการทำให้ร่างกายของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วอยู่ในสภาพที่เหมือนกับคนปกติไม่เกิดการเน่าเปื่อย

ดังนั้นวิธีการทำจริงจะต้องมีการผ่าท้องเพื่อเอาเครื่องในของผู้ที่เสียชีวิตออกมาเพื่อที่จะได้รักษาสภาพร่างกายเอาไว้ให้สมบูรณ์มากที่สุดซึ่งปัจจุบันนักโบราณคดีหลายคนได้ค้นพบสุสานของฟาโรห์และพบมัมมี่จำนวนหลายพระองค์

ซึ่งปัจจุบันนี้เราก็ยังสามารถเห็นมันมี่ได้ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่มีการเก็บซากมันมีเอาไว้ซึ่งจะมีการจัดแสดงไว้ให้กับประชาชนได้ดูถึงอารยธรรมของชนชาติอียิปต์ในสมัยโบราณว่ามีพิธีกรรมเป็นอย่างไรบ้าง

             สำหรับมัมมี่แล้ว ปัจจุบันกลายมาเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศอียิปต์เลยก็ว่าได้ เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกที่มีการสร้างมัมมี่ขึ้นมาเพื่อรอคอยการกลับมาเกิดใหม่ของคนคนนั้น และแน่นอนว่าตอนนี้เราสามารถดูอียิปต์ของจริงได้ตามพิพิธภัณฑ์ ซึ่งหากใครอยากเห็นมัมมี่ของจริงคงต้องนั่งเครื่องบินไปไกลถึงประเทศอียิปต์กันเลยทีเดียว

แต่หากใครอยากรู้และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอียิปต์และมัมมี่แบบคร่าวคร่าว ก็สามารถค้นหาข้อมูลได้จากโลกอินเตอร์เน็ต ที่ซึ่งทีเราจะหาทุกอย่างที่เราอยากรู้ได้ทุกอย่างนั่นเอง หลายคนยังคงมีความเชื่อเกี่ยวกับคำสาปของมัมมี่ และสุสานของฟาโรห์ ที่ว่าหากใครที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสุสานของฟาโรห์แล้วล่ะก็ มันผู้นั้นจะต้องพบกับความหายนะนั่นเอง 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เซ็กซี่ บาคาร่า คือ

ตำนานเจดีย์ชเวดากอง

        ถ้าใครเคยเดินทางไปประเทศพม่าหรือใครที่เคยศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์ของประเทศพม่าหรือแหล่งท่องเที่ยวของประเทศพม่าจะรู้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของประเทศพม่าและถ้าหากใครเดินทางไปถึงพม่าแล้ว

ไม่ได้ไปกราบไหว้สถานที่แห่งนี้ก็นับได้ว่ายังเดินทางไปไม่ถึงเมืองพม่านั่นก็คือเจดีย์ชเวดากองสำหรับเจดีย์ชเวดากองนี้เป็นเจดีย์ซึ่งมีรูปร่างสวยงามโดยล้อมรอบด้วยเจดีย์น้อยใหญ่เป็นจำนวนมากซึ่งมีความเชื่อกันว่าภายในเจดีย์ชเวดากองนั้นเป็นที่จัดเก็บพระเกศาของพระพุทธเจ้านั่นเองเจดีย์ชเวดากองนั้น

ได้มีการถูกสร้างห่อหุ้มด้วยทองคำแท้ทั้งหมดซึ่งตามประวัติความเป็นมาได้มีการเล่าถึงการบูรณะซ่อมแซมเจดีย์ชเวดากองว่าที่เจดีย์แห่งนี้มีการบูรณะซ่อมแซมเมื่อครั้งสมัยศตวรรษที่ 15 ซึ่งในครั้งนั้นมีพระนาง เซนซอบู ซึ่งพระนางนั้นเป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรมอญพระองค์ได้มีการบริจาคทองคำแท้เพื่อนำมาใช้ในการซ่อมแซมบูรณะเจดีย์ชเวดากอง

โดยน้ำหนักที่พระองค์บริจาคทองคำนั้นพระองค์ใช้น้ำหนักตัวของตนเองในการบริจาคซึ่งพระองค์หนักกี่กิโลกรัมพระองค์ก็บริจาคเท่ากับจำนวนน้ำหนักของพระองค์ตามจำนวนกิโลกรัมนั่นเองนอกจากจะมีพระนาง เซนซอบูแล้วยังมีชาวเมือง ที่เป็นชาวเมืองพม่าไม่ว่าจะเป็นพวกขุนน้ำขุนนางหรือประชาชนทั่วไปต่างก็พากันร่วมใจบริจาคทองคำแท้เพื่อนำมาบูรณซ่อมแซมองค์เจดีย์ชเวดากองให้กลายเป็นเจดีย์

ที่มีความงดงามมีสีทองเหลืองอร่ามสวยงามจนมาถึงทุกวันนี้ซึ่งการบริจาคทองคำในครั้งนี้ปัจจุบันชาวเมืองพม่าก็ยังคงยึดถือปฏิบัติกันมาเพื่อนำมาซ่อมแซมกรณีที่องค์เจดีย์ชเวดากองนั้นมีความสุข Song หรือชำรุดไปนั่นเอง  แต่อย่างไรก็ตามมีตำนานที่พูดถึงจุดกำเนิดการเริ่มต้นของการสร้างเจดีย์ชเวดากองเอาไว้ว่าจริงๆแล้วองค์เจดีย์ชเวดากองนั้น

มีการสร้างมานานแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาลหรือก่อนประมาณ 2500 ปีเห็นจะได้ซึ่งในครั้งแรกที่มีการสร้างองค์เจดีย์ชเวดากองนั้นเกิดขึ้นมาจากที่มีพ่อค้าพี่น้อง 2 คนได้เดินทางไปกราบไหว้พระพุทธเจ้าและเมื่อจะกลับพระพุทธเจ้าก็ได้มีการมอบเส้นผมให้กับพ่อค้าทั้งสองคนจำนวนทั้งหมด 8 เส้นเมื่อพ่อค้าทั้งคู่เดินทางมาถึงเมืองพม่าก็ได้พบกับพระเจ้าอยู่หัวที่ปกครองประเทศพม่า

อยู่ในขณะนั้นเมื่อพระองค์ทรงรู้ว่าใช้ทั้งสองคนนั้นได้เส้นผมของพระพระเจ้ามาจึงได้ช่วยเหลือชายทั้งสองคนด้วยกันสั่งให้ทหารช่วยกันก่อสร้างองค์เจดีย์ชเวดากองขึ้นมาเพื่อจะได้นำเส้นผมของพระพุทธเจ้าไปเก็บรักษาเอาไว้นั่นเองและสถานที่ก่อสร้างองค์เจดีย์ชเวดากองนั้นก็คือบริเวณเนินเขาสิงกุตระละ

และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็เห็นเจดีย์ชเวดากองอยู่ตรงบริเวณที่เดิมนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแต่ได้มีนักประวัติศาสตร์ได้มีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการก่อสร้างองค์เจดีย์ชเวดากองโดยมีการค้นพบและคาดว่าองค์เจดีย์ชเวดากองแล้วแท้ที่จริงน่าจะถูกสร้างมาในสมัยศตวรรษที่ 6 ซึ่งสมัยนั้นประเทศพม่ายังมีการปกครองโดยอาณาจักรมอญนั้นเอง 

 

 

ขอขอบคุณ  www.ufabet.com ลิ้งเข้าเว็บไซต์คะ

อาถรรพ์คำสาปของเพชรโอบ

อาถรรพ์คำสาปของเพชรโอบ Hope Diamond

ต้นกำเนิดของเพชรน้ำงามสีน้ำเงินลึกลับนี้ก็ยังคงมีข้อสงสัยกันอยู่มากเพราะว่าไม่มีบันทึกเอาไว้เป็นที่แน่นอนแต่เป็นที่รู้จักกันว่าคนแรกที่ได้ครอบครองคือนักค่าเพชรพลอยผู้ช้ำซอยการเดินทางชาวฝรั่งเศษในสมัยกลางในช่วงคริสตศักราชที่17 ชื่อ jean Baptist Tacernier ระหว่างเดินทางมายังประเทศอินเดีย jean Baptist Tacernierก็ได้พบก้อนหินที่มีค่าที่มองดูภายนอกเหมือนซอฟไฟล์แต่ที่จริงแล้วคือเพชรดิบสีน้ำเงินขนาด1123/16กะรัต

ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกในบรรดาเพชรสีน้ำเงินในอดีตที่เคยพบมาหลังจากที่jean Baptist Tacernierเดินทางกลับไปประเทศฝรั่งเศษเขาก็ได้ขายเพชรเม็ดใหญ่นี้ให้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14และเมื่ออายุได้84ปี jean Baptist Tacernierก็ได้เสียชีวิตอย่างลึกลับที่รัสเซียโดยมีข่าวลือว่าถ้าถูกหมาป่าถูกฉีดร่างจนตายต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14ได้มีรับสั่งให้ทำเพชรใหม่

โดยได้ตัดแบ่งเพชรให้ออกเป็น3ส่วนซึ่งในชิ้นแรกนั้นได้หายสาปสูญไปส่วนอีก2ชิ้น ชิ้นหนึ่งได้รับการให้ทำเป็นรูปหัวใจที่มีขนาด671/8กะรัต และ ใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศษไปอีกนับศตวรรษในชื่อเพชรมงกุฏสีน้ำเงิน หรือ สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศษเวลาผ่านไปความโชคร้ายก็เริ่มเข้ามาครอบงำชีวิตในครอบครัวราชวงศ์โดยพระเจ้าหลุยส์ที่16และพระราชนีในทั้งสองพระองค์ได้ถูกตักพระเศียรจะการประติวัตการนองเลือดฝรั่งเศสในปี1979

และเพชรมรณะเม็ดนี้ก็ได้หายสาปสูญไปในเหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนี้ด้วยต่อมาในปี1813 ณ กรุงลอนดอน นายหน้าที่ค้าเพชรก็ได้เพชรเม็ดหนึ่งที่มีขนาด44กะรัตมาไว้ในครอบครองถึงแม้ว่ารูปร่างและลักษณะนั้นมันจะไม่เหมือนเดิมแต่ด้วยความงามที่เป็น1และไม่มี2จึงได้ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นนั้นต่างก็ได้มีความเชื่อกันว่ามันก็คือเพชรน้ำเงินแห่งฝรั่งเศษที่ได้มีการถูกเปลี่ยนให้เป็นรูปร่างไปเพื่อที่จะทำให้สะดวกต่อการที่จะขนย้ายข้ามชาติเป็นไปอย่างลับๆ

จากนั้นยังได้มีหลักฐานจากบางแหล่งว่าพระเจ้าจอร์จที่ 4แห่งราชวงศ์อังกฤษก็ได้เป็นพระองค์หนึ่งงที่ได้เคยเป็นผู้ที่ครอบครองของเพชรที่เป็นอาถรรพ์จากนั้นจึงทำให้ทางราลวงศ์นั้นจำเป็นที่จะต้องขายมันไปเมื่อสินพระชนม์เพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่จำนวนมหาสารจากนั้นมาเพชรก็ได้ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆจนในปีคริสตศักราช1939เฮรี้ฟิโรพอบเจ้าของมรกดบริษัทการธนาคารก็ได้ซื้อเพชรสีน้ำเงินเพชรนี้เอาไว้เพชรมงกุฏแห่งฝรั่งเศษจึงได้กลายเป็นเพชรประจำตระกุลโฮบและก็ได้ชื่อว่าเพชรโฮบนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตระกุลโฮบที่เคยร่ำรวยต้องประสบมรสุมชีวิตและลงท้ายด้วยการล้มลลายเนื่องจากถูกคำสาปของเพชร

ชีวิตแสนเศร้าของศิลปินระดับโลก

ชีวิตแสนเศร้าของศิลปินระดับโลก แวนโก๊ะนักวาดภาพที่มีชื่อเสียงระดับโลกแต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของเขาช่างสุดแสนโศกเศร้าแวนโก๊ะตั้งใจเป็นศิลปินหรือจิตรกรตั้งแต่เด็กมีความสนใจทางด้านนี้แต่ตลอดชีวิตของเขาเขาถ่ายภาพได้เพียงแค่ภาพเดียวแต่หลังจากที่เขาสิ้นลมหายใจไปจากโลกนี้ศิลปะที่เขาสร้างไว้ให้กับเรากลับกลายเป็นสิ่งของมีค่าเป็นอย่างมากมีการประมูลด้วยราคาอย่างสูงที่นักสะสมทุกคนต้องจับตามอง

และออกงานประมูลทุกๆครั้งก็ถึงกับเป็นความฮือฮาของทุกๆคนไม่ใช่แค่ภาพเท่านั้นที่มีราคาเป็นหลักล้านแม้แต่ปืนที่เขาใช้จบชีวิตตัวเองก็ถูกนำมาจัดแสดงในระยะเวลาหลายปีและถูกดูแลอย่างดีด้วยพิพิธภัณฑ์แต่ในภาคหลังก็มีการประเมินราคากันซึ่งหลังจากการประเมินก็ต้องตอบด้วยว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถประเมินค่าได้เพราะมีค่าส่งทางจิตใจแต่ที่สำคัญงานเขาทุกชิ้นมีราคามาก

สำหรับนักสะสมในปัจจุบันก็มีการเก็บบำรุงเป็นอย่างดีเพื่อให้อนุรักษ์ไว้ซึ่งศิลปะมนุษย์เราเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้พัฒนาส่งต่อองค์ความรู้ต่างๆได้และบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงการพูดการสื่อสารออกไปการกระทำต่างๆหรือแม้แต่การเขียนหนึ่งในนั้นของการระบายอารมณ์และก็คือการวาดรูปการวาดรูปเป็นทักษะที่ต้องระยะเวลานานแต่ว่าภาพที่เกิดจากการวาดเหมือนจริงอาจจะไม่ใช่ภาพที่สมบูรณ์แบบก็ได้

สิ่งที่มาจากจินตนาการของแวนโก๊ะก็จึงถูกยกย่องให้เป็นศิลปินที่มีความสําคัญระดับโลกชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายอย่างรวดเร็วบทเรียนต่างๆของนักศึกษาวิชาศิลปะก็คงไม่พ้นผลงานของเขามาเป็นแบบอย่างในการทำงานมีคนพยายามลอกเลียนแบบผลงานของเขาแต่อย่างที่รู้กันว่าไม่มีใครสามารถลอกเลียนจิตวิญญาณของงานเขาได้ ชีวิตคนเศร้าของเขาเริ่มต้นที่เขาเริ่มจากการวาดรูปด้วยความสนุกสนานและคิดว่าจะหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพศิลปินแต่ชีวิตของเขาก็คือการเพราะว่ารูปภาพของเขาไม่เคยขายได้เลยจนมาเมื่อไม่นานมานี้ตอนที่เขาอายุประมาณวัยกลางคน

เขาขายภาพได้ 1 ภาพเขามีความยินดีอย่างมากที่มีคนชอบผลงานเขาแต่ใครจะรู้ว่าโตมาผลงานชิ้นนั้นของเขามีมูลค่ามากมายต่อมาเขาได้พยายามรังสรรค์รูปภาพออกมาตามจินตนาการของเขาแต่ว่าไม่มีใครซื้อผลงานของเขาเลยแม้แต่ชิ้นเดียวจึงทำให้เขาคิดว่าเขาเป็นคนไร้ฝีมือเราก็ไม่มีทักษะทางด้านนี้เขาต้องสู้กับความหิวโหยจากการขาดอาหาร

เพราะไม่มีเงินและโรคซึมเศร้าที่เขาต้องเผชิญเขาระบายมันออกมาเป็นรูปภาพรูปภาพที่ดังของเขาเป็นรูปภาพที่เห็นเมืองท้องฟ้าและพระจันทร์ที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวผิดผิวไปทุกส่วนภายหลังรูปของเขามีความนิยมอย่างมากในปัจจุบันเพราะว่าเขาได้ตัดผมตัวเองออกเพราะจะได้ไม่ได้ยินเสียงต่างๆและเขาก็ยังทำอาชีพนี้ได้มาสุดท้ายชีวิตอาศัยเจ้าของก็จบด้วยการยิงหัวตัวเองด้วยปืนก่อนที่เขาจะจบชีวิตลงและเรื่องเราเขาก็ถูกแล้วต่อมาอีกหลายสิบปี 

 

ประวัติและผลงานของหลุย ปาสเตอร์ ( Louis Pasteur )

ประวัติและผลงานของหลุย ปาสเตอร์ ( Louis Pasteur )  (คริสต์ศักราช 1822 – 1895) นักเคมีและก็นักจุลชีววิทยาชาวประเทศฝรั่งเศส  เขาถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อวันที่ 27 เดือนธันวาคม ปีคริสต์ศักราช 1822 และมีอายุนานจนถึงปี 72 ปีจึงได้เสียชีวิตลง

โดยเสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 เดือนกันยายน  ปีคริสต์ศักราช 1895 สำหรับหลุยส์ ปาสเตอร์ นับได้ว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถช่วยเหลือชีวิตผู้คนได้หลายคนมาก ถือได้ว่ามากที่สุดคนหนึ่งเลยก็วาได้เพราะการคิดค้นของเขาจะเน้นการคิดค้นเกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างต่าง รวมถึงโรคพิษสุนัขบ้าและโรคแอนแทรกซ์อีกด้วย

 โดยหลุยส์ ปาสเตอร์  ถือได้ว่าเป็นผู้ครอบครองตำแหน่งเป็นคุณครูในสถานศึกษาหลายที่ เป็นคนที่ศึกษาและทำการค้นพบว่าการบูดเน่าของของกินมีสาเหตุจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เขาเรียกว่าจุลลินทรีย์ ขว้างสเตอร์พบว่าจุลชีพก่อให้เกิดผลกระทบมากไม่น้อยเลยทีเดียวทำให้เขาศึกษาวิจัยเกี่ยวกับจุลอินทรีย์โดยตลอดจนกระทั่งศึกษาและทำการค้นพบกรรมวิธีฆ่าเชื้อโรคจุลชีพได้ด้วยแนวทางพาสเจอร์ไรส์(Pasteurization) การศึกษาและทำการค้นพบนี้ทำให้สาขาวิชาจุลชีววิทยาสะดุดตาล้ำหน้าขึ้นอย่างเร็ว

ถัดมา หลุย ปาสเตอร์ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับโรคระบาดที่มีการระบาดในสัตว์ และก็ได้คิดค้นหาวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคที่รุนแรงที่สุดในช่วงเวลานั้นเป็นโรคแอนแทรกซ์ได้เสร็จ และก็ตามด้วยการค้นคว้าวิจัยหาวัคซีนคุ้มครองโรคอหิวาต์ในไก่ แม้กระนั้นการศึกษาค้นพบวัคซีนที่สร้างชื่อให้กับเขาสูงที่สุดเป็นวัคซีนคุ้มครองปกป้องกลัวน้ำซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ตายไปพอเหมาะพอควร แล้วก็จากการเจอวัคซีนนี้ทำให้ศึกษาค้นพบวัคซีนคุ้มครองป้องกันโรคอีกเยอะมาก อย่างเช่น อหิวาต์ วัณโรค

แล้วก็โรคคอตีบ ถือว่าเป็นคุณประโยชน์ต่อแวดวงแพทย์อย่างมากมาย ปีคริสต์ศักราช 1888 ขว้างสเตอร์ได้จัดตั้งสถาบันขว้างสเตอร์ (Pasteur Institute) ขึ้นที่กรุงปารีส แล้วสถาบันขว้างสเตอร์ก็ได้จัดตั้งขึ้นอีกหลายที่ในประเทศต่างๆทั้งโลก รวมทั้งเมืองไทยในชื่อ “สถานที่เสาวภา” เพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบค้นคว้าเกี่ยวกับวัคซีนคุ้มครองโรคติดต่อจำพวกต่างๆ

ผลงานเด่นเด่นของหลุยส์ ปาสเตอร์ ก็คือ 

– สร้างสรรค์วัคซีนคุ้มครองป้องกันกลัวน้ำ

– ศึกษาค้นพบจุลชีวันเป็นต้นเหตุที่ทำให้มีการเกิดการเน่าเหม็น

– สร้างสรรค์ขั้นตอนการทำพาสพบร์ไรซ์

ซึ่งอาจเปรียบได้เลยว่า หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นบุคคลที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนบนโลกนี้ได้เป็นจำนวนมากและถึงแม้เขาจะเสียชีวิตไปแล้วแต่การคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ของเขาก็กลายมาเป็นต้นแบบที่มีการผลิตยาเพื่อออกมารักษาโรคอื่นอื่นได้อีกมากเลยทีเดียว จึงถือได้ว่าหลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นบุคคลสำคัญของโลกอีกคนหนึ่งที่คนทั้งโลกควรจะรู้จักและควรจารึกคุณงามความดีของท่านเอาไว้

สัตว์น้ำลึกลับที่เป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้

สัตว์น้ำลึกลับที่เป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ทุกคนอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้ท้องทะเลที่เหล่านักวิทยาการก็ยังไม่สามารถค้นพบมันได้และก็ยังไม่สามารถเชื่อได้ว่าพวดสัตว์ประหลาดเหล่านี้มันจะมีอยู่จริงจากนั้นก้ได้ทำการสำรวจในที่ต่างๆแต่ก้ไม่พบเห็นอะไรมีแต่เพียงร่องรอยเท่านั้นทำให้เรานั้นได้ค้นหามัน

อสูรกายใต้ทะเลลึก คราเกน (KraKen)

ในอดีคมีเรื่องเหล่าอสูรกายใต้ทะเลลึกจากerik Kudigaen Pontoppiden จากประเทศนอร์เวย์ จากบันทึกได้บอกว่าเจ้าคราเกน เปรียบเหมือนเกาะรอยน้ำขนาดย่อมมันมีความยาวถึงครึ่งไมล์การค้นพบหลังจากนั้นก็มีรายงานขนาดของมันซึ่งก็พบว่ามีขนาดเล็กอย่างต่อเนื่องการเคลื่อนไหวของเจ้าปลาหมึกยักชนิดนี้ซึ่งมันจะพ่นน้ำออกมาเหมือนกับอย่างเครื่องบินเจ๊ทโดยจะใช้น้ำเป็นเชื่อเพลิงและจะเคลื่อนไหวหากินไปเรื่อยๆ

อาหารของพวกปลาหมึกยักก็คือ ปลา ปลาหมึกและที่ขาดไม่ได้นั้นก็คืออาหารจานโปรดอันได้แก่ปลาวาฬสเปิร์มเมื่อมันเห็นปลาวาฬสเปิร์มมันก็จะเข้าจู่โจมทันทีดังนั้นจึงไม่แปลกที่ว่าลักษณะของเรือเดินสมุดก็คล้ายๆกับปลาวาฬสเปิร์มดังนั้นจึงถูกคราเกนเข้าจู่โจมบ่อยครั้งวันที่3พฤษจิกายน คริสตศักราช1878 หรือพุทธศักราช2421 ได้มีการบันทึกถึงของเจ้าปลาหมึกยักที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

ซึ่งถูกค้นพบโดยบังเอิญจากชาวประมงสามคนพวกเขาเห็นซากของมันลอยอยู่กลางทะเลจึงจัดการลากซากนี้โดยใช้สมอเรือนั้นแทนเชื่อกและหลังจากการลากทุลักทุเลพวกเขาก็พาซากของมันขึ้นฝั่งจนได้และหลังจากนั้นจากการสำรวจซากพวกเขาก็พบว่ากล้ามเนื้อบางส่วนของเจ้าปลาหมึกยักนี้มีบางส่วนที่มันยังคงเต้นอยู่พวกเขาจึงตั้งใจว่าจะปล่อยมันตายด้วยวิธีการคือปล่อยให้มันนอนตากแดกให้แห้งด้วยความกลัวอันตรายจากมัน

หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาแน่ใจแล้วว่ามันตายจึงได้เริ่มมีการวัดขนาดของมันซึ่งมันมีขนาดใหญ่ยาวถึง20ฟุตและมีหนวดยาวถึง35ฟุตโดยในแต่ละหนวดนั้นมีเคียวที่แหลมคมซึ่งขนาดของเคียวแต่ละชิ้นนั้นใหญ่ถึง4นิ้วในปี1966หรือพุทธศักราช2509พนักงานสองคนที่ทำงานอยู่แอฟริกาใต้เหล่าว่าเขาเห็นเจ้าปลาหมึกยักเขาจัดการกับปลาวาฬสเปิร์มโดยใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งซึ่งสุดท้ายแล้วเจ้าปลาหมึกยักก็เป็นฝ่ายชนะความลึกลับของเจ้าปลาหมึกชนิดนี้นั้นทำให้มีการจัดตั้งคณะวิทยาศาสตร์จากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกา และ นิวซีแลนด์

เพื่อศึกษาเรื่องของเจ้าปลาหมึกยักอย่างจริงจังในเดือนกุมภาพันธ์ปี1999และหลังจากการทำการวิจัยเจ้าปลาหมึกยักเป็นเวลา30วันก็ได้บทสรุปมาว่าพวกมันชอบอาศัยอยู่ในน้ำลึกบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำมากๆและมันชอบไหลไปตามกระแสน้ำ สาเหตุที่ทำให้มันนั้นดุร้ายก็ คือ เมื่อมันไหลไปเจอกับกระแสน้ำอุ่นที่มันจะต้องปรับตัวเองอย่างลวดเร็วและจำเป็นจะต้องลอยอยู่ผิวน้ำเป็นเวลานานทำให้มันนั้นเกิดความเครียดสังเกตได้จากบริเวณที่มีผู่พบเห็นหมึกยักโจมตีมักเป็นบริเวณที่เป็นกระแสน้ำเย็นและกระแสน้ำอุ่นเป็นบริเวณที่หมึกยักนั้นเครียดเพราะมันปรับตัวไม่ทันนั่นเอง