grandprixactual (1)
Search
Close this search box.

เมษายน 2020 archive

ยืนยิ้มหน้ากระจกเงา หนึ่งในเทคนิคการถ่ายรูปกับกระจกให้น่าสนใจ

ยืนยิ้มหน้ากระจกเงา หนึ่งในเทคนิคการถ่ายรูปกับกระจกให้น่าสนใจ เทคนิคนี้จะคล้ายกับเทคนิคการถ่ายแบบลองเสื้อผ้าหน้ากระจกเลย เพียงแต่ การถ่ายแบบยืนยิ้มนั้นจะง่ายกว่ามากในหลายๆเรื่อง อย่างการถ่ายลองเสื้อต้องถ่ายเต็มตัวถึงจะน่าสนใจ หรือถ้าไม่เต็มตัวก็ต้องมีจุดสนใจบางอย่างเช่นการถ่ายแบบจัดทรงหมวกอะไรทำนองนี้ แล้วก็ทำให้ต้องตากล้องนั้นต้องถ่ายไกลสักหน่อยเพื่อให้กรอบพอดีกับกระจกทั้งตัวนั้น

ซึ่งก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากในการจัดฉากต่างๆที่เป็นแบล็กกราวนั้นเอง แต่การถ่ายแบบยืนยิ้มนั้น จะมีความสนใจของภาพที่รอยยิ้มนั้น เพราะฉะนั้นการถ่ายเต็มตัวจะเป็นอะไรที่ลดจุดสนใจที่เป็นรอยยิ้มเกินไป

เพราะฉะนั้นถ่ายเพียงแค่ครึ่งตัวก็พอแล้วล่ะ นั้นทำให้การจัดกรอบภาพนั้นแคบลงเยอะเลย บางครั้งไม่จำเป็นต้องติดแบล็กกราวของห้องด้วยซ้ำไป แล้วนั้นแหละ ง่ายขึ้นเยอะเลย

ก่อนอื่นนั้นเราต้องหากระจกที่บานใหญ่สักหน่อย แต่ไม่จำเป็นต้องเต็มตัวอะไรนะ เราจะใช้ง่ายๆจากกระจกที่เราใช้แต่งตัว หรือกระจกห้องน้ำก็ได้ แต่กระจกบานนั้นก็ต้องดูสิ่งที่มันสะท้อนด้วย ถ้าฉากที่อยู่ตรงข้ามกระจกรก ก็จะทำให้ภาพไม่ส่วยเช่นกัน ต่อมาก็ ตัวแบบมายืนยิ้มได้เลย แต่งตัวสบายๆเหมือนอยู่บ้าน หรือจะเป็นแบบแต่งตัวกำลังออกไปเดทก็ได้นะ

เพราะการยืนยิ้มหน้ากระจกนั้นเราต้องการจะสื่อถึงความสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง เช่นการให้กำลังใจตัวเองที่อยู่บ้านด้วยเหตุอันใดก็ตาม หรือพยายามสร้างความมั่นใจก่อนไปออกเดทกับหนุ่มที่ชอบ หรือจะเป็นการสร้างความมั่นใจก่อนจะไปสำภาษณ์งาน นี่คือสิ่งที่เทคนิคนี้จะบอกในภาพ ต่อมาก็ไม่ยากเท่าไหร่ด้วยการใช้เทคนิคตากล้องเดิมๆ

นั้นคือยืนหลังแบบ เฉียงๆหน่อย แล้วก็จัดกรอบภาพโดยโฟกัสไปที่รอยยิ้มในกระจก แต่จะต้องติดหลังของตัวแบบที่กำลังยืนส่องกระจกด้วยนะ เป็นอะไรที่จะทำให้รอยยิ้มดูหน้าสนใจขึ้นไปอีก ส่วนการจัดกรอบส่วนแบล็กกราวนั้น ไม่ต้องให้ติดมากก็ได้หรือว่า ไม่ต้องติดเลยก็ได้ ขอเพียงให้เห็นแผ่นหลังของตัวแบบ กับรอยยิ้มที่สะท้อนของแบบในกระจกเท่านั้นพอ

ภาพแบบนี้ จะยิ่งดูหน้าสนใจถ้าเกิดว่าตัวแบบกำลังแต่ตัวอยู่บ้านแบบสบายๆ ติดเซ็กซี่นิดๆจะยิ่งยอดไปเลย แบบว่าใส่เสื้อกล้าม โชว์แผ่นหลังอะไรทำนองนี้ ก็เป็นอะไรที่ทำให้ภาพดูมีความน่ามองขึ้นอีกเยอะเลย แต่ว่าต้องระวังเรื่องเซ็กซี่เกินไปด้วยล่ะ เดี๋ยวจะโดนแบน

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ทางเข้า ufabet มือถือ

อาถรรพ์คำสาปของเพชรโอบ

อาถรรพ์คำสาปของเพชรโอบ Hope Diamond

ต้นกำเนิดของเพชรน้ำงามสีน้ำเงินลึกลับนี้ก็ยังคงมีข้อสงสัยกันอยู่มากเพราะว่าไม่มีบันทึกเอาไว้เป็นที่แน่นอนแต่เป็นที่รู้จักกันว่าคนแรกที่ได้ครอบครองคือนักค่าเพชรพลอยผู้ช้ำซอยการเดินทางชาวฝรั่งเศษในสมัยกลางในช่วงคริสตศักราชที่17 ชื่อ jean Baptist Tacernier ระหว่างเดินทางมายังประเทศอินเดีย jean Baptist Tacernierก็ได้พบก้อนหินที่มีค่าที่มองดูภายนอกเหมือนซอฟไฟล์แต่ที่จริงแล้วคือเพชรดิบสีน้ำเงินขนาด1123/16กะรัต

ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกในบรรดาเพชรสีน้ำเงินในอดีตที่เคยพบมาหลังจากที่jean Baptist Tacernierเดินทางกลับไปประเทศฝรั่งเศษเขาก็ได้ขายเพชรเม็ดใหญ่นี้ให้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14และเมื่ออายุได้84ปี jean Baptist Tacernierก็ได้เสียชีวิตอย่างลึกลับที่รัสเซียโดยมีข่าวลือว่าถ้าถูกหมาป่าถูกฉีดร่างจนตายต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14ได้มีรับสั่งให้ทำเพชรใหม่

โดยได้ตัดแบ่งเพชรให้ออกเป็น3ส่วนซึ่งในชิ้นแรกนั้นได้หายสาปสูญไปส่วนอีก2ชิ้น ชิ้นหนึ่งได้รับการให้ทำเป็นรูปหัวใจที่มีขนาด671/8กะรัต และ ใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศษไปอีกนับศตวรรษในชื่อเพชรมงกุฏสีน้ำเงิน หรือ สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศษเวลาผ่านไปความโชคร้ายก็เริ่มเข้ามาครอบงำชีวิตในครอบครัวราชวงศ์โดยพระเจ้าหลุยส์ที่16และพระราชนีในทั้งสองพระองค์ได้ถูกตักพระเศียรจะการประติวัตการนองเลือดฝรั่งเศสในปี1979

และเพชรมรณะเม็ดนี้ก็ได้หายสาปสูญไปในเหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนี้ด้วยต่อมาในปี1813 ณ กรุงลอนดอน นายหน้าที่ค้าเพชรก็ได้เพชรเม็ดหนึ่งที่มีขนาด44กะรัตมาไว้ในครอบครองถึงแม้ว่ารูปร่างและลักษณะนั้นมันจะไม่เหมือนเดิมแต่ด้วยความงามที่เป็น1และไม่มี2จึงได้ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นนั้นต่างก็ได้มีความเชื่อกันว่ามันก็คือเพชรน้ำเงินแห่งฝรั่งเศษที่ได้มีการถูกเปลี่ยนให้เป็นรูปร่างไปเพื่อที่จะทำให้สะดวกต่อการที่จะขนย้ายข้ามชาติเป็นไปอย่างลับๆ

จากนั้นยังได้มีหลักฐานจากบางแหล่งว่าพระเจ้าจอร์จที่ 4แห่งราชวงศ์อังกฤษก็ได้เป็นพระองค์หนึ่งงที่ได้เคยเป็นผู้ที่ครอบครองของเพชรที่เป็นอาถรรพ์จากนั้นจึงทำให้ทางราลวงศ์นั้นจำเป็นที่จะต้องขายมันไปเมื่อสินพระชนม์เพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่จำนวนมหาสารจากนั้นมาเพชรก็ได้ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆจนในปีคริสตศักราช1939เฮรี้ฟิโรพอบเจ้าของมรกดบริษัทการธนาคารก็ได้ซื้อเพชรสีน้ำเงินเพชรนี้เอาไว้เพชรมงกุฏแห่งฝรั่งเศษจึงได้กลายเป็นเพชรประจำตระกุลโฮบและก็ได้ชื่อว่าเพชรโฮบนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาตระกุลโฮบที่เคยร่ำรวยต้องประสบมรสุมชีวิตและลงท้ายด้วยการล้มลลายเนื่องจากถูกคำสาปของเพชร

ชีวิตแสนเศร้าของศิลปินระดับโลก

ชีวิตแสนเศร้าของศิลปินระดับโลก แวนโก๊ะนักวาดภาพที่มีชื่อเสียงระดับโลกแต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของเขาช่างสุดแสนโศกเศร้าแวนโก๊ะตั้งใจเป็นศิลปินหรือจิตรกรตั้งแต่เด็กมีความสนใจทางด้านนี้แต่ตลอดชีวิตของเขาเขาถ่ายภาพได้เพียงแค่ภาพเดียวแต่หลังจากที่เขาสิ้นลมหายใจไปจากโลกนี้ศิลปะที่เขาสร้างไว้ให้กับเรากลับกลายเป็นสิ่งของมีค่าเป็นอย่างมากมีการประมูลด้วยราคาอย่างสูงที่นักสะสมทุกคนต้องจับตามอง

และออกงานประมูลทุกๆครั้งก็ถึงกับเป็นความฮือฮาของทุกๆคนไม่ใช่แค่ภาพเท่านั้นที่มีราคาเป็นหลักล้านแม้แต่ปืนที่เขาใช้จบชีวิตตัวเองก็ถูกนำมาจัดแสดงในระยะเวลาหลายปีและถูกดูแลอย่างดีด้วยพิพิธภัณฑ์แต่ในภาคหลังก็มีการประเมินราคากันซึ่งหลังจากการประเมินก็ต้องตอบด้วยว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถประเมินค่าได้เพราะมีค่าส่งทางจิตใจแต่ที่สำคัญงานเขาทุกชิ้นมีราคามาก

สำหรับนักสะสมในปัจจุบันก็มีการเก็บบำรุงเป็นอย่างดีเพื่อให้อนุรักษ์ไว้ซึ่งศิลปะมนุษย์เราเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้พัฒนาส่งต่อองค์ความรู้ต่างๆได้และบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงการพูดการสื่อสารออกไปการกระทำต่างๆหรือแม้แต่การเขียนหนึ่งในนั้นของการระบายอารมณ์และก็คือการวาดรูปการวาดรูปเป็นทักษะที่ต้องระยะเวลานานแต่ว่าภาพที่เกิดจากการวาดเหมือนจริงอาจจะไม่ใช่ภาพที่สมบูรณ์แบบก็ได้

สิ่งที่มาจากจินตนาการของแวนโก๊ะก็จึงถูกยกย่องให้เป็นศิลปินที่มีความสําคัญระดับโลกชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายอย่างรวดเร็วบทเรียนต่างๆของนักศึกษาวิชาศิลปะก็คงไม่พ้นผลงานของเขามาเป็นแบบอย่างในการทำงานมีคนพยายามลอกเลียนแบบผลงานของเขาแต่อย่างที่รู้กันว่าไม่มีใครสามารถลอกเลียนจิตวิญญาณของงานเขาได้ ชีวิตคนเศร้าของเขาเริ่มต้นที่เขาเริ่มจากการวาดรูปด้วยความสนุกสนานและคิดว่าจะหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพศิลปินแต่ชีวิตของเขาก็คือการเพราะว่ารูปภาพของเขาไม่เคยขายได้เลยจนมาเมื่อไม่นานมานี้ตอนที่เขาอายุประมาณวัยกลางคน

เขาขายภาพได้ 1 ภาพเขามีความยินดีอย่างมากที่มีคนชอบผลงานเขาแต่ใครจะรู้ว่าโตมาผลงานชิ้นนั้นของเขามีมูลค่ามากมายต่อมาเขาได้พยายามรังสรรค์รูปภาพออกมาตามจินตนาการของเขาแต่ว่าไม่มีใครซื้อผลงานของเขาเลยแม้แต่ชิ้นเดียวจึงทำให้เขาคิดว่าเขาเป็นคนไร้ฝีมือเราก็ไม่มีทักษะทางด้านนี้เขาต้องสู้กับความหิวโหยจากการขาดอาหาร

เพราะไม่มีเงินและโรคซึมเศร้าที่เขาต้องเผชิญเขาระบายมันออกมาเป็นรูปภาพรูปภาพที่ดังของเขาเป็นรูปภาพที่เห็นเมืองท้องฟ้าและพระจันทร์ที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวผิดผิวไปทุกส่วนภายหลังรูปของเขามีความนิยมอย่างมากในปัจจุบันเพราะว่าเขาได้ตัดผมตัวเองออกเพราะจะได้ไม่ได้ยินเสียงต่างๆและเขาก็ยังทำอาชีพนี้ได้มาสุดท้ายชีวิตอาศัยเจ้าของก็จบด้วยการยิงหัวตัวเองด้วยปืนก่อนที่เขาจะจบชีวิตลงและเรื่องเราเขาก็ถูกแล้วต่อมาอีกหลายสิบปี 

 

Art ศิลปะกับการพัฒนา

Art ศิลปะกับการพัฒนา เมื่อพูดถึงศิลปะที่เป็นศาสตร์หนึ่งของสุนทรียศาสตร์แล้วนั้นเชื่อว่าทุกคนต้องเห็นถึงความสำคัญ แต่ว่าศิลปะนั้นมีความสำคัญขนาดไหนนั้นและเราจะสามารถส่งเสริมศิลปะให้กับเด็กอย่างไรเพื่อจะเป็นการพัฒนาและสนับสนุนในตัวเด็กคนนั้นๆ

ความเข้าใจที่สำคัญเกี่ยวกับศิลปะเราต้องมีความเชื่อว่าศิลปะนั้นเป็นหนึ่งในพัฒนาการของเด็ก เด็กจะต้องได้เรียนรู้และทำกิจกรรมศิลปะประหนึ่งว่าศิลปะนั้นคืออาหารชนิดหนึ่งที่จะต้องทานให้ครบห้าหมู่ ชีวิตเด็กต้องมีกิจกรรมที่เป็นกิจกรรมศิลปะเข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนั่นเอง

เราคงได้ยินกันบ่อยๆในเรื่องสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา ซีกขวานั้นจะเป็นซีกของจินตนการซีกซ้ายจะเป็นเรื่องของความคิดที่เป็นตรรกะอะไรต่างๆ ถ้าเด็กจะพัฒนาอย่างสมบูรณ์ที่จะสามารถได้ใช้พลังสมองทั้งสองข้าง ศิลปะนั้นจำเป็นอย่างแน่นอน

ในระดับเด็กนั้นเอประกวดอะไรเราจะสามารถสู้ได้ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ โดยทั่วไปแล้วประเทศเรายังพัฒนาสู้ประเทศทางตะวันตกหรือญี่ปุ่นอะไรไม่ค่อยได้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้สงเสริมทางด้านศิลปะอย่างชัดเจน มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังระดับโลกได้พูดถึงจินตนาการและวิทยาศาสตร์ไว้อย่างชัดเจนว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพราะเมื่อมีจินตนาการแล้วตัวจินตนาการนั้นสามารถนำไปสู่การค้นหาความรู้อื่นๆได้นั่นเอง ดังนั้นสิ่งที่ส่งเสริมที่ชัดเจนในเรื่องของจินตนาการนั้น ศิลปะจึงเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญมากๆ

ในบางครั้งเรามักจะได้ยินว่าศิลปะนั้นไม่มีขอบเขตแต่ในปัจจุบันพ่อแม่บางครั้งมีการสอนให้เด็กๆระบายสีหรือทำเรื่องเกี่ยวกับศิลปะให้อยู่ในขอบเขตเพราะมองว่าเป็นเรื่องความสวยงามทำให้เด็กๆถูกจำกัดในเรื่องของศิลปะนั่นเอง ดังนั้นต้องดูว่าพ่อแม่นั้นรู้จักศิลปะมากพ่อหรือยังถึงได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์เด็กเช่นนั้น ต้ องดูว่าศิลปะในความเป็นจรองนั้นเป็นอย่างไรบ้างซึ่งปัจจุบันนี้ศิลปะมีหลากหลายชนิดมาก

หากยกตัวอย่างจากศิลปินระดับโลกเช่นปิกัสโซ่ เคยพูดไว้ว่า ในเด็กทุกคนนั้นมีความศิลปินอยู่ในตัวแต่ความยากคือว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ศิลปินนั้นยังคงอยู่ในตัวเด็ก โดยความเป็นศิลปะนั้นมีอยู่ในตัวของเด็กทุกคนอยู่แล้วและธรรมชาติในตัวเด็กและการที่ผู้ใหญ่มีความคิดแบบนั้นก็เป็นไปตามทฤษฎีที่ว่า ในเด็กนั้นจะมีความมั่นใจในเรื่องของสิลปะสูงสุดและเมื่อโตขึ้นมานั้นความมั่นใจในเรื่องศิลปะก็จะลดลงจนหมดเพราะเกิดจากการที่ผู้ใหญ่เอากรอบความคิดมาใสในตัวเด็กนั่นเอง

แต่ถ้าเด็กนั้นได้รับการส่งเสริมอย่างถูกวิธีแล้วนั้นได้รับความรู้ที่ถูกต้องในความเป็นจริงกับศิลปะนั้นซึ่งมีหลากหลายรูปแบบให้ตรงตามความต้องการของเด็ก เด็กก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปจนสามารถเป็นศิลปินได้ในที่สุด

 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย   เว็บบาคาร่าฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ